ทิพวัฒน์ คอร์ปอเรชั่น Wood Pellets ธุรกิจแห่งโอกาส
จากผู้บริหารบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ สู่การสร้างธุรกิจเพื่อสังคม (SE) กับ “บริษัท ทิพวัฒน์ คอร์ปอเรชั่น”
โดย...วราภรณ์ เทียนเงิน
จากผู้บริหารบริษัทต่างประเทศขนาดใหญ่ สู่การสร้างธุรกิจเพื่อสังคม (SE) กับ “บริษัท ทิพวัฒน์ คอร์ปอเรชั่น” ที่เกิดจากความผูกพันของครอบครัวที่ทำการเกษตร จึงอยากร่วมเป็นหนึ่งพลังที่เปลี่ยนอาชีพการเกษตรของประเทศไทยให้ดีขึ้น เพราะเห็นปัญหาของเกษตรกรไทยส่วนใหญ่ยังประสบภาวะความเป็นหนี้ และเป็นหนี้นอกระบบ รวมถึงที่ดินในไทยยังถูกนำไปพัฒนาใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่
วัฒนพงศ์ ทองสร้อย กรรมการผู้จัดการ และผู้ก่อตั้ง บริษัท ทิพวัฒน์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ประกอบธุรกิจไม้เชื้อเพลิงอัดแท่ง (Wood Pellets) หรือไทยไบโอแมส เปิดเผยว่า ยอมเปลี่ยนตัวเองสู่การทำธุรกิจการเกษตร จากที่เคยเป็นผู้บริหาร มีเงินเดือน 1 แสนบาท/เดือน มาทำงานบริษัทที่มีรายได้บางเดือนประมาณ 5,000-6,000 บาท เพราะอยากเปลี่ยนแปลงสังคมการเกษตรของประเทศไทย เชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำจะมีผลกระทบวงกว้าง และสามารถเป็นผลบวกต่อสังคมได้ ทุกอย่างตนทำด้วยใจ
“เราได้เรียนหนังสือ ทำงานกับบริษัทต่างประเทศ ได้เห็นปัญหาของพ่อแม่ที่ทำอาชีพเกษตรกรรม แต่ต้องถูกพ่อค้าคนกลางกดราคา จึงอยากนำความรู้ที่มีอยู่มาช่วยเกษตรกร เพราะเกษตรกรเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และยังประสบปัญหาเป็นหนี้ซ้ำซาก เราจึงอยากเป็นหนึ่งในธุรกิจเพื่อสังคม เข้ามาช่วยแก้ปัญหาให้แก่เกษตรไทย” วัฒนพงศ์ กล่าว
วัฒนพงศ์ กล่าวต่อว่า บริษัทเปรียบเสมือนศูนย์รับซื้อสินค้าจากชุมชนคือ ต้นกระถิน เพื่อนำมาแปรรูปสู่ไม้เชื้อเพลิงอัดแท่ง ที่ความต้องการในตลาดโลกมีสูง และเป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด มีความปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทได้มีการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่ จ.ลพบุรี มีการปลูกต้นกระถินเพื่อสร้างรายได้แก่ครอบครัวเป็นอาชีพเสริมได้ สำหรับต้นกระถินมีความพิเศษคือมีอายุ 18 เดือน ไม่มีต้นทุนในการดูแล รวมถึงไม่ต้องใช้สารเคมี หรือรดน้ำ สามารถตัดแต่งกิ่ง ตัดไม้ นำมาแปรรูปเป็นอาหารสัตว์คือใบกระถินอัดเม็ด ส่วนไม้นำมาแปรรูปสู่เชื้อเพลิง
ปัจจุบันมีเกษตรกรที่เข้ามาร่วมปลูกต้นกระถินกับบริษัทรวมประมาณ 400 ครัวเรือน จำนวนพื้นที่รวม 4,500 บาท/ไร่ การปลูกต้นกระถินทำให้เกษตรกรมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 บาท/วัน เพราะตัดแต่งกิ่งไม้ และใบไม้นำไปขายได้ หรือเฉลี่ยเกษตรกรจะมีรายได้ประมาณ 1.2-1.5 หมื่นบาท/ไร่/ปี หรือมีกำไรประมาณ 4,000-7,000 บาท/ไร่/ปี มีต้นทุนที่ต่ำ แต่สร้างรายได้ต่อเนื่องตลอดปี พบว่าเกษตรกรที่เข้ามาร่วมเครือข่ายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสุขที่ได้ปลูกต้นกระถิน และไม่ต้องโยกย้ายมาทำงานในเมือง
บริษัทยังได้นำกำไรของธุรกิจประมาณ 10% มาพัฒนาวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ ทั้งเรื่องการส่งเสริมเครื่องจักร และการเช่าเครื่องจักรให้แก่เกษตรกร พร้อมกับการแนะนำเกษตรกรในทุกด้าน โดยบริษัทจะวางนโยบายรับซื้อสินค้าต้นกระถินจากเกษตรกรสูงขึ้น 10% จากราคาทั่วไป เพื่อส่งเสริมเกษตรกรในพื้นที่ และทำให้ราคาไม่มีความผันผวน ถือว่ารูปแบบธุรกิจของบริษัทจะเป็น Farming Fair-trade Company
วัฒนพงศ์ กล่าวว่า การเริ่มต้นสร้างธุรกิจเพื่อสังคมถือเป็นสิ่งใหม่ในประเทศไทย ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย ตนเริ่มต้นก่อตั้งบริษัทพร้อม “อรทิพย์ เที่ยงยุติธรรม” ในช่วงแรก ต้องใช้เงินทุนส่วนตัวมาลงทุน เพราะไม่มีธนาคารใดปล่อยสินเชื่อให้เลย เมื่อบริษัทมีรายได้ก็นำมาระดมทุนขยายธุรกิจต่อ ตนไประดมทุนในต่างประเทศ ไปร่วมงานในต่างประเทศ จึงได้ทุนเริ่มต้นจากต่างประเทศมา 1 แสนบาท เพราะต่างประเทศเข้าใจและเห็นคุณค่าของธุรกิจนี้ ต่อมาก็ใช้การระดมทุนต่อเนื่อง ทำให้มีเงินทุนที่ได้จากการระดมทุนทั้งต่างประเทศและในประเทศรวมประมาณ 5 ล้านบาทแล้ว
บริษัทมีโรงงานผลิตสินค้าไม้เชื้อเพลิงอัดแท่งที่ จ.ลพบุรี และมีโรงงานวิจัยและพัฒนาสินค้า (อาร์แอนด์ดี) ที่นนทบุรี ซึ่งมีการส่งออกสินค้าไปในตลาดต่างประเทศหลายประเทศ ทั้งประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี เป็นต้น โดยบริษัทมีการทำสัญญาระยะยาวกับคู่ค้าในต่างประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาความไม่แน่นอนของตลาด และส่งผลดีต่อเกษตรกรที่ปลูกต้นกระถิน ซึ่งบริษัทมียอดขายในปีที่ผ่านมาประมาณ 15 ล้านบาท ตั้งเป้าหมายในอนาคตจะสร้างยอดขายสู่ระดับ 100 ล้านบาทให้ได้ ซึ่งจะเป็นพลังเปลี่ยนเกษตรไทยได้อย่างดี
“การทำธุรกิจเพื่อสังคม ทุกอย่างต้องมีความอดทนมากๆ มีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ธุรกิจเพื่อสังคมไม่เหมือนธุรกิจอื่น มีความยากกว่าธุรกิจปกติทั่วไป เราต้องทำงานหนัก เข้าไปเปลี่ยนความคิดของคนอื่นให้ได้ มีช่วงเวลาที่ท้อ และไม่ได้มีรายได้สูง แต่ผลตอบแทนที่ได้รับทางใจมีมูลค่าสูงมาก นั่นคือสิ่งที่มีคุณค่าสูงสุดแล้ว” วัฒนพงศ์ กล่าว
ความตั้งใจจริงที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่ดีให้แก่ประเทศไทย ทำให้บริษัทได้รับรางวัล “เปลี่ยน” กิจการเพื่อสังคมดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2558 จากสำนักงานสร้างเสริมกิจการเพื่อสังคมแห่งชาติมาแล้ว เป็นหนึ่งในบริษัทไทยรุ่นใหม่ที่กำลังเข้ามาร่วมเปลี่ยนโฉมประเทศไทยให้งดงามขึ้นกว่าเดิม


