"ผู้ประกาศข่าวต้องมีสมอง อย่าใช้เเค่ปาก" บุญมา ศรีหมาด สุภาพบุรุษนักอ่านข่าววิทยุ
ฉากชีวิตของตำนานที่ยังมีลมหายใจ "บุญมา ศรีหมาด" เจ้าของเสียงประกาศข่าวในวิทยุที่หลายคนคุ้นหูมานาน
โดย..วรรณโชค ไชยสะอาด
สปอตไลท์แห่งโลกออนไลน์กำลังสาดส่องไปยัง บุญมา ศรีหมาด ชายหน้าคม ผิวเข้ม เเววตาสดใสเป็นประกาย เจ้าของเสียงนุ่มลึกอันคุ้นหูทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย(สวท.) กรมประชาสัมพันธ์ หลังเจ้าตัวเพิ่งออกมาเปิดเผยโฉมหน้าเป็นครั้งแรกผ่านการถ่ายทอดสด (Live stream) ทางเฟซบุ๊ก
“พี่ทำเล่นๆกับน้องที่ทำงาน เห็นพวกดารา ดีเจเขาฮิตทำ เลยลองทำบ้าง ไม่ได้มีเจตนาให้ดังกระฉ่อนกว้างขวาง ไม่อยากเชื่อว่ามันจะไปไวขนาดนี้ ยังไงก็ขอขอบคุณทุกคนมากที่ชื่นชมเรา” หนุ่มวัย 43 หัวเราะร่าด้วยท่าทีแปลกใจกับกระแสความดังของตัวเอง
ใครจะรู้ว่า บุญมา ฝึกฝนตัวอย่างหนักมาตลอด 28 ปี นี่คือตัวอย่างของคนที่มีเป้าหมายชัดเจน ขับเคลื่อนชีวิตด้วยแรงบันดาลใจ บวกความพยายามอย่างมีแบบแผน กระทั่งประสบความสำเร็จได้รับเสียงชื่นชมอย่างถล่มทลาย
มาทำความรู้จักกับชายคนนี้ให้มากขึ้นกว่าเเค่น้ำเสียง...
ฟังทรานซิสเตอร์ ฝึกฝน มุ่งมั่น สู่จุดหมาย
บุญมา ศรีหมาด เกิดเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2517 เป็นชาวต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ จบการศึกษาจากคณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ความสำเร็จของผู้ชายคนนี้เริ่มต้นจากการหลงใหลในน้ำเสียงผู้ประกาศข่าวจากสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย (สวท.) กรมประชาสัมพันธ์ ถึงขั้นตั้งเป้าหมายในชีวิตตั้งแต่วัยประถมศึกษาว่าจะรับราชการเป็นผู้ประกาศข่าวให้จงได้
“สมัยเด็ก ผมมีวิทยุทรานซิสเตอร์อยู่เครื่องหนึ่ง ทุกเช้าจะเปิดฟังข่าวจากกรมประชาสัมพันธ์ ฟังพี่ประพันธ์ หิรัญพฤกษ์ อดุลเดช สุจริตกุล ปรีชา ทรัพย์โสภา บุคคลเหล่านี้เป็นต้นแบบให้กับเรา เราชอบ ฟังแล้วก็ฝึกฝน เลียนแบบ อ่านจังหวะจะโคนตาม เรียกว่าก๊อปปี้เลย รู้สึกอยากทำงานที่ สวท. เพราะคิดว่าไม่มีที่ไหนอีกแล้ว ที่เสียงของเราจะดังไปไกลทั่วประเทศเท่าที่นี่”
จากวันนั้นบุญมาพัฒนาตัวเองไม่หยุดยั้ง ติดตามข่าวสาร ฝึกออกเสียงอ่านข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ และแม้กระทั่งนำเศษไม้มาตั้งเป็นขาไมโครโฟน บังคับให้เพื่อนฝูงมานั่งฟังเขายืนไฮปาร์คอย่างเป็นประจำ ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่ ม.2 เด็กชายบุญมาก็ได้รับคัดเลือกจากอาจารย์ให้จัดรายการเสียงตามสายประจำโรงเรียนและจังหวัดกระบี่แล้ว
“ผมได้โอกาสจัดรายการเสียงตามสายตั้งแต่ ม.2 หยิบข่าวรายวันมาอ่านให้เพื่อนๆในโรงเรียนฟัง สมัยนั้นสวท. จ.กระบี่ ยังมอบโอกาสให้โรงเรียนส่งเด็กไปจัดรายการสัปดาห์ละ 1 ชั่วโมงด้วย ซึ่งผมได้คัดเลือกและทำหน้าที่จนกระทั่งจบ ม.6 ช่วงนี้สำคัญมาก ได้โอกาสเจอกับพี่ๆมืออาชีพใน สวท. โดยเฉพาะพี่อ้อย มยุรี ที่เขาบอกว่า ผมเสียงโอเค เสียงได้ มีพลัง ตรงสเปกโทนกรมประชาสัมพันธ์ สุดท้ายแกแนะนำให้ไปสอบใบผู้ประกาศข่าว ซึ่งผมสอบได้ตั้งแต่ ม.6 ตอนนั้นดีใจมาก รู้สึกว่า เฮ้ย เรามาอีกขั้นแล้ว”
หลังเรียนจบ ม.6 หนุ่มกระบี่ที่แม้เอ็นทรานซ์ไม่ติด แต่รั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง ในคณะมนุษยศาสตร์ เอกสื่อสารมวลชน ที่เขาเลือกเดินไปก็กลายเป็นสถานที่หล่อหลอมพัฒนาตัวเอง นำพาให้ได้เจอกับสุดยอดนักพูดคนวิทยุระดับประเทศมากมายไล่ตั้งแต่ จตุพล ชมภูนิช สุรวงศ์ วัฒนกูล พิษณุ สกุลโรมวิลาส สมชาย หนองฮี อุสมาน ลูกหยี ซึ่งตัวอย่างชั้นยอดให้เขาจนก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ
“ระหว่างเรียนถือว่าเป็นช่วงที่ได้พัฒนาและเรียนรู้เยอะมาก ได้เข้าไปอยู่ในชมรมปาถกฐาและโต้วาทีที่มีรุ่นพี่ซี่งมีชื่อเสียงมากมายคอยหล่อหลอม ได้จัดรายการวิทยุครั้งแรกในกรุงเทพฯกับทาง FM 96.0 กรมการรักษาดินแดน สัปดาห์ละ 1 ชั่วโมง ได้เข้าแข่งขัน โต้คารมอุดมศึกษา พาสอนของ อ.กรรณิการ์ ธรรมเกษร คนเก่งยุคนั้นต้องผ่านเวทีนี้กันหมด”
ทว่าอุปสรรคสำคัญในการพัฒนาที่ทำให้เจ้าตัวท้อแท้และรู้สึกไม่มั่นใจในสิ่งที่เลือกเดิน คือ “สำเนียงทองแดง” ลักษณะสำเนียงของคนใต้พูดภาษากลาง ซึ่งเมื่อครั้งอดีตเขาเคยเป็น ทำให้ผู้ร่วมงานซึ่งเป็นผู้ประกาศชื่อดังและโปรดิวเซอร์เอือมระอามาแล้ว
“เราอ่านสิบรอบ เทคแล้วเทคอีก ไปทำให้เขาเสียเวลา พี่เขารอบเดียวจบ โปรดิวเซอร์ก็ทับถม น้องเสียงทองแดง ยังไม่ผ่าน เทคจนเขารำคาญ ด่าเราทุกวัน บางครั้งเขานั่งหลับรอเลย แล้วบอกให้เราอ่านไป จะเอากี่รอบก็อ่านไป เดือนนั้นกลับบ้านมานั่งเครียดทุกวัน ร้องไห้ก็มี คิดมากว่าจะเดินต่อดีไหม ยากเกินไปสำหรับเราหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็ฮึดสู้ เอาจริงเอาจัง พยายามพูดให้ช้าลง ไม่ห้วน ลากเสียงให้ยาวขึ้น เพื่อให้สำเนียงทองแดงเบาลง และหายไปในที่สุด”
ทิ้งเงินหลักหมื่น มาเริ่มต้นหลักพันกับอาชีพราชการ
ความฝันวัยเด็กของใครหลายคน อาจปรับเปลี่ยนไปตามสภาพเเวดล้อม เม็ดเงิน เเละอนาคตที่ไม่เเน่นอน เเต่นั่นไม่ใช่กับบุญมาที่เลือกทิ้งเงินเดือนหลักหมื่นจากเอกชน เพื่อทำตามความฝันเมื่อครั้งวัยเยาว์ ด้วยการสมัครเป็นข้าราชการประจำกรมประชาสัมพันธ์
แรกเริ่มเดิมที บุญมายึดอาชีพผู้ประกาศข่าวทางวิทยุระดับประเทศ ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยชั้นปี 3 หลังได้รับคำแนะนำจาก กนกวรรณ กนกวนาวงศ์ เพื่อนรุ่นพี่ซึ่งปัจจุบันเป็นนักข่าววิทยุชื่อดัง ชักชวนให้ไปสมัครเป็นผู้ประกาศข่าวที่สำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น.ร่วมด้วยช่วยกัน
“ตอนไปสมัครก็ยังคิดว่า เขาจะรับเราหรอ เรียนก็ยังไม่จบ แต่ปรากฎว่าเขาชอบเรา บอกยินดีให้เงินเดือนเท่าคนเรียนจบปริญญาเลย”
การทำงานที่สำนักข่าวไอเอ็นเอ็นดำเนินไปได้ด้วยดี ระหว่างพ.ศ.2540 – 2547 กระทั่งประตูความฝันในวัยเด็กของเขาพลันเปิดขึ้น เมื่อกรมประชาสัมพันธ์ประกาศเปิดรับสมัคร “นักสื่อสารมวลชน”
“ขอบคุณ พี่สุริยงค์ หุนทสาน อดีตผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นผู้สอบสัมภาษณ์ ตอนนั้นแกถามว่า คุณอยู่เอกชน เงินเดือนเยอะกว่าข้าราชการหลายเท่า จะมาทำที่นี่ทำไม ผมตอบกลับไปว่า ความฝันตั้งแต่เด็กของผมคือ การได้อ่านข่าวให้กับสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย และวันนี้ผมอยากทำให้ฝันนั้นเป็นจริง เพราะรู้ว่าที่นี่เสียงของเราจะดังออกไปไกลกว่าที่อื่น ซึ่งมารู้ทีหลังว่า เขากินใจตรงที่เรายอมสละเงินเดือนจำนวนมาก มาทำตามความฝัน ขอบคุณ ผอ.ที่ให้โอกาสเราในวันนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีบุญมา สีหมาด กรมประชาสัมพันธ์วันนี้”
หลังทำงานเป็นผู้ประกาศได้ 5 ปี บุญมาก้าวไปอีกขั้นด้วยบทบาทใหม่ นั่นคือ เป็นอาจารย์ที่สถาบันการประชาสัมพันธ์ อันเปรียบเสมือนใบเบิกทางต่อยอดไปสู่ความเจริญก้าวหน้าทางด้านอาชีพที่กว้างขวางกว่าเดิม
“ผอ.รวงทอง ยศธำรง ให้โอกาสด้านการเป็นครูกับผม ท่านเดินมาบอกว่า อยากให้บุญมามาสอนที่นี่ ตอนนั้นไม่มั่นใจ บอกกลับไปว่าจะไหวหรอครับ ไม่เคยสอน ผอ.รวงทอง บอกว่า พี่มั่นใจบุญมาทำได้ ซึ่งผมก็ทำได้จริงๆ ได้รับการประเมินระดับสูงจากผู้เรียนซึ่งเสียเงินเข้ามาเรียนตั้งแต่ปีแรกกระทั่งปัจจุบัน โอกาสวันนั้นเปิดโลกต่อยอดไปอีกไกล วันนี้ผมได้เป็น อาจารย์สอนหลักสูตรเตรียมสอบบัตรผู้ประกาศของกสทช. สอนหลักสูตรการทำหน้าที่พิธีกร การจัดรายการวิทยุ การพัฒนาบุคลิกภาพ ซึ่งมันขยายออกไป เพราะกรมประชาสัมพันธ์ยอมรับ”
มืออาชีพ ไม่ได้ใช้แค่ปาก
ใครหลายคนได้ยินเสียงบุญมา มักร้องอ๋อ “โห นี่มันเสียงตำนาน ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก” ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่…
“บางคนบอกฟังมานานตั้งแต่เด็ก แต่จริงๆ แล้ว อาจจะเป็นเสียงของผู้ประกาศท่านอื่น ต้องบอกท่านผู้ฟังว่า โทนเสียงกรมประชาสัมพันธ์นั้นจะเป็นแนวเดียวกัน มีมาตรฐานการอ่านข่าวแบบทางการตกทอดมาจากรุ่นพี่ บางทีผมอ่านคู่กับคุณเตชิน มัชชัญติกะ เสียงบางช่วง บางจังหวะนั้นดูละม้ายคล้ายคลึงกัน จนหลายท่านคุ้นหูไปเสียหมด กลายเป็นความเข้าใจผิดว่าบุญมาทำงานไม่มีวันหยุดเลยหรอ”
จากเด็กส่งเสียงตามสายในโรงเรียนจนกระทั่งถึงวันนี้ กว่า 28 ปีแล้วที่บุญมาอยู่ในวงการวิทยุ เขาบอกว่า ข่าวในพระราชสำนักถือเป็นโจทย์หินที่สุดสำหรับผู้ประกาศข่าวทุกคน เนื่องจากเต็มไปด้วยคำราชาศัพท์ที่ไม่คุ้นเคยและไม่ได้ใช้บ่อยครั้งในชีวิตประจำวัน ซ้ำยังมีคำควบกล้ำจำนวนมาก รองลงมาคือข่าวต่างประเทศและกีฬาที่มีชื่อและศัพท์ภาษาต่างประเทศ รวมถึงคำเฉพาะในแต่ละชนิดกีฬา
สิ่งสำคัญที่ทำให้ผู้ประกาศข่าววิทยุโดดเด่นและเติบโตในวิชาชีพ นอกจากน้ำเสียงที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ความถูกต้องและความเข้าใจในเนื้อข่าวนับเป็นเรื่องที่ละเลยไม่ได้ หากอยากอยู่ในวงการแบบมืออาชีพ
“ทุกวันนี้ผมใช้เวลาเตรียมตัวก่อนออกอากาศสด ประมาณ 15-30 นาทีเป็นอย่างน้อย สมัยก่อนนานกว่านี้ ผู้ประกาศข่าวไม่ใช่แค่เราเอาข่าวมาอ่านอย่างเดียว แต่ต้องอ่านด้วยสมอง ตรวจสอบว่าที่เขาพิมพ์หรือแปลมาถูกหรือไม่ เป็นตัวกรองขั้นสุดท้าย ไม่ใช่ให้อะไรมาก็อ่านหมด วงการนี้ ไม่ใช่เอาแต่ปากมาอย่างเดียวเเบบนกแก้วนกขุนทอง ต้องติดตามข่าวสารบ้านเมืองตลอด อะไรเกิดขึ้น อย่างไร คาดการณ์ความน่าจะเป็นเบื้องต้น ถึงเวลาอ่านจะได้เข้าใจและถ่ายทอดอย่างถูกต้อง เหมือนเวลาเราไปร้องคาราโอเกะ ถ้าไม่เคยรู้จักเพลง รู้จักทำนองนั้นมาก่อน อ่านตามตัวอักษรอย่างเดียว บางทีมันคร่อมทำนองจังหวะ ร้องผิดๆ ถูกๆ แต่ถ้ามีความเข้าใจ รู้ทำนองจังหวะ ก็จะร้องได้ถูกต้อง อ่านข่าวก็เหมือนกัน”
เมื่อถามถึงความยากในอาชีพนี้ บุญมาบอกว่า 1.การออกเสียงอักขระอย่างถูกต้อง ชัดเจน และ 2.ติดตามข่าวสารอย่างสม่ำเสมอเพื่อถ่ายทอดข่าวออกไปอย่างคนที่มีความเข้าใจ ในส่วนจังหวะการอ่านนั้นนอกจากการฝึกฝนแล้ว ประสบการณ์และความชำนาญ ยังถือเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องใช้เวลา ฉะนั้นผู้ที่อยากเข้ามาทำงานด้านนี้ ต้องหัดสร้างคุณสมบัติดังกล่าวให้แข็งแกร่ง
ในวัย 43 ปี สุขภาพร่างกายและน้ำเสียงของผู้ประกาศรายนี้ยังแข็งแรง มาตรฐานคงเส้นคงวา ซึ่งเคล็ดลับของเจ้าตัวนั้นน่าทึ่งมาก
“ทุกวันนี้ 3 อย่างหนักๆที่ผมยึดถือปฎิบัติเพื่อสุขภาพและมาตราฐานของเสียง คือ หนึ่ง ออกกำลังกายด้วยการเล่นโยคะ สอง ทานมังสวิรัติ ซึ่งทานมา 15 ปีแล้ว และสาม หลีกเลี่ยงยาปฎิชีวนะทั้งหมด และหันไปใช้แนวทางธรรมชาติบำบัด เพื่อร่างกายมีสารเคมีตกค้างน้อยที่สุด เพราะงานใช้เสียงถ้าสุขภาพข้างในเราแย่ เราก็คอนโทรลเสียงไม่ได้ ดูแลรักษาเสียงเต็มที่แบบสุดชีวิต ถ้าเสียงไม่ดี มันรู้สึกไม่เป็นตัวเอง
เทคนิคการออกเสียงของผมคือ ใช้จากกระบังลม เพื่อให้เสียงมีความนุ่มลึก ไม่ใช้จากลำคอ เพราะถ้าอ่านนานๆ จะปวดคอมาก สำหรับผมแล้ว ผู้ประกาศเหมือนจิตรกร สีคือน้ำเสียง พู่กันคือลำคอ ผืนผ้าใบคือหน้าปัดวิทยุที่ออกอากาศ แล้วแต่ว่าเราจะนำลำคอของเราไปจุ่มน้ำเสียงให้ออกมาเป็นสีอะไร และระบายลงบนผืนผ้าใบหรือหน้าปัดวิทยุอย่างไร”
อนาคตของข้าราชการชื่อบุญมาคือ สนองแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องการอนุรักษ์ภาษาไทย โดยจะพยายามจุดกระแสให้คนไทยรู้จักการออกเสียงให้ถูกต้องต่อไป
“ในบทบาทหน้าที่ของเรา ผมพยายามถ่ายทอดภาษาไทยให้ถูกต้องอย่างเต็มที่ เพื่อให้ผู้อ่านรู้ว่า สิ่งที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ถึงวันนี้ขอบพระคุณทุกคนที่ชื่นชมและอยากฟังเสียงเรา แรงใจจากประชาชนก็ถือว่าเป็นสิ่งสูงสุดเหนือกว่ารางวัลใดๆในโลกหล้า เมื่อข้าราชการกินเงินเดือนจากประชาชน ก็ขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สมกับที่ประชาชนจ้างเรามา”
ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของผู้ประกาศข่าวทางวิทยุ หนึ่งในตำนานที่ยังมีลมหายใจ ของสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย(สวท.) กรมประชาสัมพันธ์
ชมคลิปสัมภาษณ์เเละน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของ บุญมา สีหมาด


