เศษฝรั่งเมื่อ ร.ศ. 112 (ตอนจบ)
เหตุการณ์ ร.ศ. 112 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยรุ่นก่อนยังจดจำได้ แต่ไม่แน่ว่าคนไทยรุ่นใหม่ รุ่นเทคโนโลยีไอโฟน จะรู้หรืออยากรู้หรือไม่ ในยุค ร.ศ. 112 เป็นยุคที่ประเทศในเอเชียถูกฝรั่งตะวันตกยึดเป็นเมืองขึ้น ฝรั่งพวกนี้แบ่งกันใช้อาวุธที่ทันสมัยออกล่าอาณานิคม เป็นการแบ่งผลประโยชน์ราวกับว่าประเทศเอเชียไม่ใช่คน
เหตุการณ์ ร.ศ. 112 เป็นเหตุการณ์สำคัญที่คนไทยรุ่นก่อนยังจดจำได้ แต่ไม่แน่ว่าคนไทยรุ่นใหม่ รุ่นเทคโนโลยีไอโฟน จะรู้หรืออยากรู้หรือไม่ ในยุค ร.ศ. 112 เป็นยุคที่ประเทศในเอเชียถูกฝรั่งตะวันตกยึดเป็นเมืองขึ้น ฝรั่งพวกนี้แบ่งกันใช้อาวุธที่ทันสมัยออกล่าอาณานิคม เป็นการแบ่งผลประโยชน์ราวกับว่าประเทศเอเชียไม่ใช่คน
พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 แม้จะทรงทราบว่า สยามประเทศจะต้องเผชิญกับการล่าอาณานิคมของฝรั่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยากที่จะเอาตัวรอด แม้พระองค์จะได้ใช้กุศโลบายในการเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศมหาอำนาจในยุโรป ไม่ว่าจะเป็นเยอรมนี รัสเซีย เพื่อให้ช่วยคานอำนาจของอังกฤษและฝรั่งเศสที่เมามันกับการล่าเมืองขึ้น แต่ก็ทำได้เพียงรักษาเอกราชของชาติไทยไว้ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศใด แต่ไม่สามารถป้องกันฝรั่งอันธพาลที่ใช้กำลังรังแก ตัดดินแดนรอบสยามประเทศออกไปให้เป็นของประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นเมืองขึ้นของฝรั่ง
เรื่องราวเหตุการณ์ ร.ศ. 112 เมื่อคราวที่แล้ว จบลงเมื่ออังกฤษที่แม้จะมีผลประโยชน์กับสยามประเทศ แต่ไม่ยอมช่วยเหลือ ไทยเราจึงจำยอมต้องตอบรับคำขาดของฝรั่งเศส โดยไม่ยอมรับ 2 ข้อ คือ เรื่องดินแดนและให้ลงโทษข้าราชการไทยที่สามารถต่อสู้กับฝรั่งเศสในการรบบนบกที่ฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงได้ เพราะเป็นการทำตามหน้าที่
สันดานของอันธพาล เมื่อมันไม่สามารถรบเอาชนะได้ มันก็บังคับให้ลงโทษคนที่เก่งกว่า
ฝรั่งเศสถือว่ารัฐบาลไทยปฏิเสธคำขาด จึงได้ประกาศปิดอ่าวไทยตั้งแต่แหลมเจ้าลายถึงแหลมฉบัง ตั้งแต่เวลา 17.00 น. ของวันที่ 26 ก.ค. และประกาศให้เรือของชาติเป็นกลางจะต้องออกไปให้พ้นบริเวณดังกล่าวภายใน 3 วัน ต่อมาวันที่ 29 ก.ค. ฝรั่งเศสปิดอ่าวเพิ่มจากเกาะเสม็ดถึงแหลมสิงห์
พระณรงค์วิชิต (เลื่อน ณ นคร) ได้บันทึกเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ว่า “ระหว่างนั้นไทยยังหวังพึ่งอังกฤษอยู่ และอังกฤษเองก็ตกใจที่ฝรั่งเศสประกาศปิดอ่าวไทย แต่เมื่อฝรั่งเศสแจ้งให้อังกฤษทราบว่าไม่ประสงค์จะผนวกเสียมราฐและพระตะบอง และฝรั่งเศสต้องการจะทำความตกลงกับอังกฤษในเรื่องสร้างรัฐกันกระทบในบริเวณลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน ทำให้อังกฤษคลายกังวล อังกฤษจึงเกลี้ยกล่อมรัฐบาลไทยให้ตอบรับคำขาดของฝรั่งเศส
ดังนั้น วันที่ 29 ก.ค.รัฐบาลไทยจึงจำต้องตอบรับคำขาด และฝรั่งเศสได้ฉวยโอกาสนี้ตั้งข้อเรียกร้องเพิ่ม คือ ห้ามไทยส่งทหารเข้าไปประจำการในเสียมราฐและพระตะบองอันเป็นดินแดนแหล่งสุดท้ายของไทยที่เหลืออยู่ในเขมร ฝรั่งเศสจะยึดจันทบุรีไว้เป็นประกัน จนกว่าไทยจะถอนทหารออกจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงให้หมด และให้ไทยจัดตั้งเขตปลอดทหารภายใน 25 กิโลเมตร จากฝั่งขวาของแม่น้ำโขง และฝรั่งเศสขอสิทธิที่จะตั้งสถานกงสุลขึ้นที่น่านและโคราช ในที่สุดรัฐบาลไทยจำต้องยอมรับข้อเรียกร้องเพิ่มดังกล่าวเมื่อวันที่ 5 ส.ค. ฝรั่งเศสจึงยอมยกเลิกการล้อมปิดอ่าว”
เมื่อรับข้อเรียกร้องแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำสนธิสัญญาตามรูปแบบของฝรั่งที่กำหนดกติกาตามความถนัดของตนเอง พระณรงค์วิชิต (เลื่อน ณ นคร) ได้บันทึกเหตุการณ์ในตอนนี้ไว้ว่า
“ก่อนการเจรจาทำสนธิสัญญาและอนุสัญญาเพื่อยุติกรณีพิพาท ไทยต้องรีบชำระเงินค่าปรับไหม และเงินค่าทำขวัญ โดยสรุปเรียกว่า จ่ายเงินประกันเป็นเงิน 3 ล้านฟรังก์ คิดเป็นเงินไทยในขณะนั้น 1,605,348 บาท กับอีก 2 อัฐ ฝรั่งเศสให้ชำระทันที และชำระเป็นเงินเหรียญ
ขณะนั้นจำนวนเงินในพระคลังมีไม่เพียงพอ มีพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่กราบบังคมทูลเตือนถึงเงินพระคลังข้างที่ของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (เงินพระคลังข้างที่คือพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ และเงินรายได้แผ่นดินส่วนหนึ่งที่แบ่งถวายพระมหากษัตริย์ เพื่อทรงใช้จ่ายส่วนพระองค์ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงจัดการการค้าสำเภาหลวงและทรงค้าสำเภาส่วนพระองค์ตั้งแต่ยังไม่ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ จึงมีพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์มาก
ม.จ.หญิงพูนพิศมัย ดิศกุล ทรงนิพนธ์ไว้ในเรื่อง “เหตุการณ์ใน ร.ศ. 112 และเรื่องเสียเขตแดนใน ร.5” ว่า “เงินถุงแดงข้างพระที่ที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ทรงเก็บไว้ด้วยมีพระราชดำรัสว่า
“เอาไว้ถ่ายบ้านถ่ายเมือง” ก็ได้ใช้จริงในคราวนี้ ผู้ใหญ่เล่ากันว่า เจ้านายในพระราชวังเทเงินถวายกันจนเกลี้ยง ใส่ถุงขนออกจากวังทางประตูต้นสน (ประตูศรีสุนทร) ไปลงเรือทางท่าราชวรดิษฐ์ (ท่าราชวรดิฐ) กันทั้งกลางวันกลางคืน”
ไทยเรารักษาเอกราชไว้ได้ด้วยการเสียสละพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์และเจ้านาย นักการเมืองสมัยนี้เคยเสียสละทรัพย์เพื่อรักษาประเทศหรือเพื่อประโยชน์ของประเทศบ้างไหม ในยุคนี้เห็นแต่นักการเมืองจ้องเงินงบประมาณแผ่นดิน หาช่องทางโกงกิน ทุจริตคอร์รัปชั่นเพื่อตัวเอง ครอบครัวและพวกพ้อง มีแต่ขนเงินออกไปเสวยสุขในต่างประเทศ โดยไม่สำนึกว่าพระมหากษัตริย์ทรงเสียสละทั้งเลือดเนื้อและชีวิตและทรัพย์สมบัติส่วนพระองค์ เพื่อรักษาบ้านเมือง
รัชกาลที่ 3 นอกจากจะทำมาค้าขายเก่งแล้ว พระองค์ท่านยังทรงเห็นภัยที่จะเกิดกับสยามประเทศในอนาคต โดยตรัสกับข้าราชบริพารไว้ก่อนสวรรคต ว่า “การศึกสงครามข้างญวน ข้างพม่า ก็เห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่ข้างพวกฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิด ควรจะเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่าให้นับถือเลื่อมใสไปเสียทีเดียว ทุกวันนี้คิดสละห่วงใยได้หมด อาลัยแต่วัดวา สร้างไว้ใหญ่โตหลายวัด ที่ยังค้างอยู่ก็มี ถ้าชำรุดทรุดโทรมไปจะไม่มีผู้ช่วยทำนุบำรุง เงินในพระคลังที่เหลือจับจ่ายในราชการแผ่นดินมีอยู่ 40,000 ชั่งนี้ ขอสัก 10,000 ชั่งเถิดให้ไว้บำรุงวัดวาที่ยังค้างอยู่”
ประวัติศาสตร์มีไว้ให้ศึกษาเป็นบทเรียน และนำมาปรับใช้กับเหตุการณ์ปัจจุบันและอนาคต กงล้อประวัติศาสตร์มักจะหมุนทับรอยเดิม
ฝรั่งในยุคปัจจุบัน ไม่ได้แตกต่างกับยุค ร.ศ. 112 ยังคงล่าอาณานิคม และเหยื่อของฝรั่งยังคงเป็นเอเชีย เพียงแต่วิธีการแตกต่างจากอดีต ฝรั่งส่งเรือรบเข้ามาในน่านน้ำเอเชีย คนละซีกโลกกับบ้านเมืองเขา แม้ไม่ได้ใช้อาวุธโดยตรง แต่เป็นข่มขู่ในทีอยู่แล้ว และในบางกรณีก็ใช้โฆษณาชวนเชื่อ เข้าไปปล้นทรัพยากรของประเทศอื่น เช่น การบุกอิรัก
ศึกษาประวัติศาสตร์แล้ว ทำให้เข้าใจว่า ทำไมจีนจึงไม่ยอมขึ้นศาลอนุญาโตตุลาการโลก เพราะจีนรู้ดีว่า ฝรั่งเขียนกติกา ฝรั่งเป็นคนพิจารณาตัดสิน เมื่อฝรั่งไม่ชอบจีน แล้วจีนจะได้รับความเป็นธรรมได้อย่างไร
ชาวสยามในยุค ร.ศ. 112 ต้องเสียน้ำตา เมื่อมองเห็นรถม้าขบวนยาวเหยียดนับร้อย บรรทุกเงินถุงแดงจากพระบรมมหาราชวัง ล้อรถบดไปบนถนน น้ำหนักเงินจำนวนมหาศาลนั้น กดทับถนนจนเกิดรอยล้อเป็นทางทอดยาว
ความรู้สึกของชาวสยามในยุคนั้น ไม่ได้น้อยไปกว่าชาวฝรั่งเศสในยามนี้


