เร่งผลักดัน กม.ซ้อม-อุ้มหาย ความยุติธรรมที่รอคอย
การซ้อม ทรมาน อุ้มหายประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นสิ่งที่เคลือบแคลงจากสังคมมาโดยตลอดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
โดย...วิรวินท์ ศรีโหมด
การซ้อม ทรมาน อุ้มหายประชาชนของเจ้าหน้าที่รัฐเป็นสิ่งที่เคลือบแคลงจากสังคมมาโดยตลอดว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยกระทรวงยุติธรรมได้ ร่าง พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหายขึ้นมา ซึ่งขณะนี้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีอยู่ในชั้นการตรวจสอบของกฤษฎีกาก่อนเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณาออกเป็นกฎหมาย
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทยและเครือข่าย หยิบประเด็นดังกล่าวยกมาพูดคุยในเวทีเสวนาเรื่อง “กฎหมายป้องกันทรมานกับความยุติธรรมที่รอคอย” เพื่อเป็นอีกเสียงสะท้อนหนึ่งถึงรัฐเพื่อขจัดเจ้าหน้าที่รัฐที่ละเมิดสิทธิ ซ้อม ทรมานเหล่านี้ให้หมดไป
แซม ซาริฟี ผู้อำนวยการคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า คณะกรรมการนิติศาสตร์สากลฯ ยินดีที่รัฐบาลไทยมีความก้าวหน้าอย่างมาก ที่ผลักดันให้เกิดการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องการสูญหาย เพราะถือเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังมีบางจุดที่ยังไม่ตรงกับกฎหมายระหว่างประเทศ เช่น อายุความมีเพียงแค่ 20 ปี แต่กฎหมายระหว่างประเทศไม่มีอายุความ นอกจากนี้มองว่ากฎหมายฉบับนี้ต้องพยายามให้ผู้บังคับบัญชาพยายามป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากลฯ จึงหวังว่าไทยจะรีบนำกฎหมายฉบับนี้มาบังคับใช้โดยเร็ว
อังคณา นีละไพจิตร กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า ควรร่างกฎหมายฉบับนี้ให้สอดคล้องกับอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมมากที่สุด เพราะบางมาตรายังไม่สอดคล้อง เช่น หน่วยงานต่างๆ ที่ถูกร้องเรียนมักจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องและการนำองค์กรเหล่านี้เข้ามาน่าจะไม่ได้รับการไว้วางใจจากประชาชน รวมถึงควรกำหนดสัดส่วนของผู้หญิงและญาติของผู้เสียหายเข้าไปรับรู้และมีส่วนร่วมด้วย
อังคณา กล่าวว่า สิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ การพิจารณาของ สนช.อาจมีข้อยกเว้นในส่วนที่ระบุว่า สามารถเลือกปฏิบัติได้หากเป็นเหตุความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งหวังว่า พ.ร.บ.ฉบับนี้จะไม่มีข้อยกเว้นในข้อนี้ ไม่เช่นนั้นกฎหมายฉบับนี้จะไม่มีประสิทธิภาพในการตรวจสอบป้องกันการทรมานอุ้มหายเต็มที่
ปกป้อง ศรีสนิท อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงกฎหมายฉบับนี้ว่ามีสาระสำคัญหลักๆ 4 ประเด็น คือ 1.เพื่อการลงโทษผู้ที่กระทำการทรมาน 2.ป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ในประเทศไทย 3.ให้มีอำนาจของกรรมการในการตรวจสอบ และ 4.จะเป็นกลไกการสืบสวนสอบสวนการทรมานให้เข้าถึง และได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย การเยียวยาอย่างละเอียด
สำหรับบทลงโทษผู้ที่เกี่ยวข้องรวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐมีการระบุไว้ชัดเจน รวมถึงผู้บังคับบัญชาด้วย ว่าถ้าผู้ใต้บังคับบัญชาไปอุ้มประชาชนและหายไป ผู้บังคับบัญชาที่ปล่อยปละละเลยต้องรับผิดชอบการกระทำนี้ด้วย
ปกป้อง กล่าวอีกว่า ภาพรวมกฎหมายฉบับนี้ได้อธิบายถึงการคุมขังในที่ลับว่าจะไม่มีอีกต่อไป ส่วนการนำตัวผู้ต้องสงสัยไปกระทำการใดๆ นั้นจะต้องเปิดเผยข้อมูลรายละเอียดสถานที่ ที่นำไปควบคุมไว้ให้ญาติทราบ รวมถึงศาลก็สามารถสั่งพิจารณาให้ปล่อยหรือปรับเปลี่ยนสถานที่คุมขังได้ โดยให้อำนาจศาลอาญามีอำนาจสูงสุดกว่าศาลทหาร ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมกันสนับสนุน เพราะการทรมาน อุ้มหายเป็นสถานกาณ์ที่ร้ายแรงที่สุด
เสียงสะท้อนจากครอบครัวผู้เสียหายอย่างบุญเรือง สุธีพันธุ์ มารดาของ ส.ท.กิตติกร สุธีพันธุ์ ทหารที่เสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายมณฑลทหารบกที่ 25 จ.สุรินทร์ เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาที่หลบหนี ได้เล่าด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า สาเหตุที่ลูกของตัวเองต้องเสียชีวิตขณะถูกคุมขัง เพราะถูกกล่าวหาว่าให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาที่หลบหนี ซึ่งระหว่างการถูกดำเนินคดีก็พยายามขอประกันตัวลูกชาย แต่ศาลมณฑลทหารบกไม่ให้ประกันตัวเพราะเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จนต่อมาได้เสียชีวิตในเรือนจำ ซึ่งมองว่าเป็นการเสียชีวิตที่ผิดปกติ ดังนั้นอยากทราบว่าทำไม ลูกชายที่อยู่ระหว่างรับราชการและอยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นสถานที่ราชการถึงต้องตายด้วย
ขณะที่ญาติผู้ต้องหาที่เสียชีวิตอีกคนระหว่างถูกควบคุมตัว วาสนา เกิดแก้ว มารดานายอนัน เกิดแก้ว ผู้ต้องหาที่เสียชีวิตระหว่างถูกคุมขังที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมาในคดียาเสพติด เล่าว่า ตำรวจแจ้งว่าหมดสติในห้องขังก่อนนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา และเมื่อผ่าพิสูจน์ศพก็พบว่าร่างกายมีเลือดคลั่งในปอด ร่างกายมีบาดแผล ต่อมาตำรวจพยายามเข้ามาติดต่อเพื่อนำเงินมาช่วยเหลือหลายครั้ง แต่ต้องแลกกับการเซ็นเอกสารบางอย่าง จึงขอความเป็นธรรมว่าอย่าให้ลูกชายตายฟรี
อีกรายเป็นผู้ที่เคยได้รับผลกระทบจากการกระทำของเจ้าหน้าที่ ยีซะ ซาแม ผู้นำเครือข่ายปกป้องสิทธิมนุษยชนปัตตานี เล่าว่า สมัยที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ จ.ยะลา เมื่อปี 2551 เคยถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว และถูกซ้อม ทรมาน อาทิ ถูกจับแก้ผ้าและนำไปขังไว้ในห้องเย็น รวมถึงเอาตัวเองไปผูกไว้ที่เสาไฟฟ้าแรงสูง เพื่อให้ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อสถานการณ์ในพื้นที่ แต่หลังจากที่ถูกปล่อยตัวก็พยายามดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ กระทั่งมาทำงานด้านสิทธิมนุษยชนก็ยังถูกคุกคามจากเจ้าหน้าที่มาโดยตลอด
เดวิด เองสตอร์มส นักสังคมสงเคราะห์ ด้านการเยียวยาผู้เสียหาย กล่าวว่า การใช้ความรุนแรงนอกจากจะทำให้เกิดบาดแผลทางร่างกายแล้ว ยังทำให้เกิดแผลทางจิตซึ่งยากที่จะเยียวยาให้กลับมาเป็นปกติแบบเดิม ดังนั้นนอกเหนือจาการให้ความยุติธรรมแล้ว รัฐควรสนับสนุนให้ผู้ที่รอดจากการทรมานได้รับการฟื้นฟูทางด้านจิตใจเช่นกัน
ท้ายนี้ต้องติดตามว่าเมื่อร่าง พ.ร.บ.ป้องกันปราบปรามการทรมานและบังคับบุคคลให้สูญหายออกมาบังคับใช้ จะสามารถดำเนินการลดปัญหาการซ้อม ขัง ทรมาน อุ้มหายได้หรือไม่


