posttoday

กกต.พร้อมจัดประชามติ วอนประชาชนพาชาติสู่ประชาธิปไตย

23 พฤษภาคม 2559

"จะออกมารับไม่รับเป็นสิทธิส่วนตัว ไม่มีก้าวล่วงบังคับได้ แต่ไม่อยากให้เหมือนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 แล้วประเทศไม่ไปไหน"

โดย...ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถือเป็นแม่งานหลักในการทำหน้าที่จัดการเลือกตั้ง แต่ทว่าก่อนที่ประเทศจะมีการเลือกตั้งในปี 2560 ก็คงต้องผ่านบททดสอบการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 7 ส.ค. 2559 นี้ก่อน

กับการเตรียมการให้ประชาชนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญผ่านมาถึงวันนี้ มีความพร้อมอย่างไรบ้าง ศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. แจกแจงผ่านโพสต์ทูเดย์ในช่วงเวลา 81 วัน ก่อนถึงวันชี้ขาดรัฐธรรมนูญ

“กกต.ตระหนักเสมอ การออกเสียงประชามติไม่ใช่เพียงสะท้อนเจตนารมณ์ของประชาชนที่จะเห็นบ้านเมืองมีความก้าวหน้าไปทิศทางใด หรืออนาคตเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่เป็นคำตอบชัดเจน ประเทศก้าวสู่ประชาธิปไตยแท้จริง”

ส่วนการดำเนินการต่างๆ กกต.เน้นใช้จ่ายประหยัดมีเหตุผลโดยมีคณะกรรมการกำกับดูแล สำหรับการเตรียมความพร้อม กกต.ได้แบ่ง 9 ภารกิจ อาทิ 1.ในการออกระเบียบประกาศ กกต. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งได้ออกระเบียบ 4 เรื่อง ประกาศ 5 เรื่อง เพื่อ กกต.ได้ดำเนินการตามภารกิจจัดทำประชามติ

2.จัดพิมพ์ร่างรัฐธรรมนูญ สรุปสาระสำคัญ คำอธิบาย และสรุปสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญ ประเด็นคำถามเพิ่มเติม คำอธิบายและสรุปสาระสำคัญประเด็นคำถามเพิ่มเติม ซึ่ง กกต.กำลังจัดพิมพ์ โดยได้เซ็นสัญญาว่าจ้างโรงพิมพ์อาสารักษาดินแดน กรมการปกครอง ให้ดำเนินการ

สำหรับร่างรัฐธรรมนูญจะพิมพ์ 1 ล้านฉบับ ส่วนหนังสืออธิบายสาระสำคัญร่างรัฐธรรมนูญจะจัดพิมพ์ เล่มหนึ่งและสอง เล่มละ 4 ล้านฉบับ ส่วนประเด็นคำถามเพิ่มเติมพร้อมคำอธิบาย จะพิมพ์ 4 ล้านฉบับ โดยงวดแรกจะส่งวันที่ 23 พ.ค. ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อย่างละ 5 หมื่นชุด

ส่วนการจัดพิมพ์บัตรออกเสียงประชามติ ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องมีเทคนิคป้องกันการทำบัตรปลอม จึงใช้วิธีประกวดราคาแบบปกติ ขณะนี้กำลังทำทีโออาร์ใกล้เสร็จ ขณะที่การพิมพ์สรุปย่อสาระสำคัญจะทำ 17 ล้านเล่ม และจะส่งไปพร้อมหนังสือแจ้งเจ้าบ้าน โดยให้กรมไปรษณีย์โทรเลขดำเนินการ

และ 3.การส่งเสริมการมีส่วนร่วมรณรงค์เผยแพร่ขั้นตอนการออกเสียงประชามติ ซึ่งรณรงค์ประชาชนให้ออกมาใช้สิทธิ ไม่ใช่รับหรือไม่รับ โดย กกต.ตั้งเป้าการออกเสียงครั้งนี้ 80% เนื่องจากงบที่ใช้ 2,900 ล้านบาท ต้องทำให้คุ้มค่า เพราะประชามติครั้งก่อนแค่ 50% เท่านั้น

นอกจากนั้น กกต.ยังมีครู กศน.โดยได้ทำเอ็มโอยูร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ หน่วยบัญชาการกำลังสำรอง โดยมี รด.จิตอาสามาช่วยรณรงค์ ทำให้มั่นใจว่ามีประชาชนออกมาใช้สิทธิจำนวนมาก รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากจังหวัด อำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน

ขณะเดียวกัน จะมีการรณรงค์ผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ตลอดจนสื่อออนไลน์ รวมถึงยูทูบด้วย ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากสื่อหลายๆ แขนงในการประชาสัมพันธ์ โดยขณะนี้มีผู้ใช้สิทธิประมาณ 50 กว่าล้านคน ซึ่งเป็นข้อมูลล่าสุดเมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา

อีกทั้ง กกต.ยังได้ประสานสภาอุตสาหรรม หอการค้าจังหวัด สภานายจ้าง เพื่อขอความร่วมมือให้ลูกจ้างสามารถใช้อินเทอร์เน็ตสำนักงานในการขอใช้สิทธิออกเสียงนอกเขตจังหวัด ซึ่งทุกแห่งให้ความร่วมมืออย่างดี และในวันที่ 25 พ.ค.นี้ กกต.เตรียมคิกออฟ “7 ส.ค. ประชามติร่วมใจ ประชาธิปไตยมั่นคง”

ศุภชัย ยอมรับว่า ยังไม่ได้รับรายงานพื้นที่ไหนน่าเป็นห่วงในการทำประชามติ ส่วนที่มีการถกเถียงว่า พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 เป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ไม่ให้แสดงความคิดเห็นนั้น ขอยืนยันมาตรา 7 ของร่างนี้ ให้ประชาชนมีเสรีภาพแสดงความคิดเห็น เผยแพร่โดยสุจริตไม่ขัดต่อกฎหมาย

“ทุกคนมีเสรีภาพในการออกความเห็น พูดได้ เผยแพร่ได้ แต่ต้องเป็นไปโดยสุจริต ไม่ขัดกฎหมาย คือ มาตรา 61 ของ พ.ร.บ.นี้ หรือไม่ขัดกฎหมายอื่น เช่น ประกาศ คสช. ฉบับที่ 7 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง อย่าปลุกระดม รับไม่รับทำไม่ได้ ส่วนจะผิดกฎหมายหรือไม่ ศาลยุติธรรมเป็นผู้ชี้ขาดไม่ใช่ กกต.”

ศุภชัย บอกว่า กรณีมองร่างที่ออกมาเป็นยาแรง แต่ต้องเข้าใจว่าบ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ไม่ปกติ ประชาชนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ฉะนั้นทำอย่างไรให้บ้านเมืองปกติเพื่อทำการเลือกตั้งต่อไป ดังนั้นประชาชนทุกคนต้องให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว เพราะเกี่ยวกับตัวเองโดยตรง

ส่วนจะออกมารับไม่รับเป็นสิทธิส่วนตัว ไม่มีก้าวล่วงบังคับได้ แต่ไม่อยากให้เหมือนเหตุการณ์เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2557 แล้วประเทศไม่ไปไหน หากเกิดปะทะกันไม่มีใครได้หรือเสีย แต่บ้านเมืองเสียหาย อย่างที่พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตรัสไว้ว่า “อย่าไปชนะบนซากปรักหักพัง เพราะประเทศชาติไม่ได้อะไร”

สำหรับบรรยากาศที่จะเอื้อให้คนออกมาใช้สิทธิ ศุภชัย ระบุว่า ต้องประชาสัมพันธ์ และที่สำคัญต้องช่วยกัน ช่วยบ้านเมือง อย่าไปยึดผลประโยชน์พรรคพวก ส่วนตัว หาช่องทางกันทำอย่างไรให้บ้านเมืองสงบเดินหน้าต่อไป ทิฐิต่างๆ ต้องเลิกหรือลดลง ให้ไปสู่การเลือกตั้งเร็วที่สุด

ส่วนที่ฝ่ายการเมืองมองว่าจะไม่เกิดการทำประชามติ ศุภชัย ประเมินว่า ดูจากสถานการณ์ไม่น่าจะมีอะไรแบบนั้น และเชื่อว่าจะไม่สะดุดกับโรดแมปที่รัฐวางไว้ หากบางฝ่ายต้องการส่งอาสาสมัครไปเฝ้าหน่วยออกเสียงประชามติสามารถทำได้ แต่ไปชุมนุมเกิน 5 คน ทำกิจกรรมการเมือง อาจผิดประกาศ คสช. แต่ถ้าไปดูแล้วพบเจ้าหน้าทำผิดสามารถร้องเรียนได้

สำหรับการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ศุภชัย แนะนำว่า ต้องเกิดจากการเจรจา มีคนกลาง ทำให้การขัดแย้งหมด หรือลดระดับ แต่ให้พอใจทุกคน ลำบาก ทิฐิคนพูดยาก ตัวอย่างคราวก่อนเลือกตั้งก่อนปฏิรูป อีกฝ่ายปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง จึงไม่เกิดการเจรจา รัฐบาลทำอะไรไม่ได้ จนเกิดเหตุวันนั้น

“คงต้องฝากประชาชนขอให้ช่วยกันในเรื่องนี้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดปกครองประเทศ ทุกคนมีส่วนได้เสีย ต้องทำความเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญมีสาระสำคัญอย่างไร ก็ไปศึกษาได้ทั้งที่ทำการอำเภอ จังหวัด หรือแอพพลิเคชั่น อยากให้ผู้มีสิทธิมาออกเสียงให้มาก จะออกอย่างไรเป็นสิทธิของท่าน เพราะสำคัญจะชี้ชะตาประเทศ”

ขณะเดียวกัน อยากฝากสื่อทุกแขนงประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนมาออกเสียงให้มาก เพราะตอนนี้การบริโภคสื่อสำคัญ สำหรับที่กังวลว่าอะไรทำได้ ไม่ได้ ไม่ต้องกังวล มีเสรีภาพแสดงความคิดเห็นได้ เผยแพร่ความเห็นโดยสุจริต ไม่ขัดต่อกฎหมาย ไม่ปลุกระดม ก้าวร้าว ทำได้ จะเห็นอย่างไรก็เห็นไปไม่ต้องกังวล เพราะถ้าไม่มีกฎหมายออกมาวางกรอบ จะยุ่งวุ่นวาย ดังนั้นยึดหลักสุจริตไว้ ถ้ายึดตรงนี้ไม่ต้องกังวล

ข่าวล่าสุด

ก.ล.ต. กล่าวโทษ 18 ราย คดีปั่นหุ้น OTO ส่ง DSI - ปปง. ดำเนินคดี