"สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์" จากผู้พิพากษาสู่มือปราบ ก.ล.ต.
“สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์” เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.คนใหม่ ในสายงานบังคับใช้กฎหมาย
โดย...ประลองยุทธ ผงงอย
สํานักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถูกตั้งขึ้นในปี 2535 มีภารกิจหลักในการพัฒนาและกำกับตลาดทุนของประเทศให้มีประสิทธิภาพ ยุติธรรม โปร่งใส และน่าเชื่อถือ เพื่อลดความเสี่ยงของระบบ ในช่วงแรกผู้บริหารและบุคลากรที่ร่วมก่อตั้งมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยส่วนหนึ่ง มาจากการสร้างทีมงานขึ้นมาใหม่ เวลาที่ผ่านมากว่า 20 ปี มีผู้บริหารเกษียณอายุหลายคน พนักงานระดับกลางและระดับล่างก็ไต่อันดับขึ้นไปเรื่อยๆ แต่งานบางส่วนต้องหาบุคลากรจากภายนอกเข้าไปเสริมทัพให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2559 ที่ผ่านมา “สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์” ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต.คนใหม่ ในสายงานบังคับใช้กฎหมาย
“สมชาย” เป็นมืออาชีพด้านกฎหมาย มีประสบการณ์ในการเป็นทนายความและผู้พิพากษามากว่า 20 ปี หลังจบการศึกษาในปี 2533 ระดับปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 2 จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจบเนติบัณฑิตไทยในปี 2535 หลังจากจบเนติบัณฑิตไทย ทำงานเป็นทนายความในปี 2535-2537 และเป็นผู้พิพากษาตั้งแต่ปี 2537-2558 ทั้งผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลแพ่งธนบุรี ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะศาลแขวงธนบุรี เลขานุการศาลภาษีอากรกลาง ศาลแพ่งธนบุรี อยู่ศาลภาษีค่อนข้างนาน
นอกจากนั้น ในช่วงทำงานเป็นผู้พิพากษาหลังเลิกงานยังใช้เวลาว่างแบ่งมาเขียนหนังสือตำรากฎหมาย รวมถึงประมวลกฎหมายต่างๆ รวมกันมากกว่า 20 เล่ม และยังเป็นอาจารย์พิเศษสอนด้านกฎหมายด้วย
สมชายได้เล่าภารกิจในการเข้ามาทำงานใน ก.ล.ต.ว่า เป็นผู้รวบรวมพยานหลักฐานให้มีความสมบูรณ์มากที่สุดก่อนส่งฟ้องคดี เข้ามาเติมเต็มช่วยปิดจุดอ่อนทักษะในการรวบรวมพยานหลักฐานของ ก.ล.ต. เพื่อทำให้คดีความเดินหน้าได้เร็วขึ้น และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สามารถตัดสินให้คดีออกมาได้เร็วมากขึ้น
การทำงานที่ ก.ล.ต.จะปรับเปลี่ยนบทบาทหน้าที่มาเป็นคนรวบรวมพยานหลักฐานเอง ถือว่างานเปลี่ยนไม่มาก จากประสบการณ์ที่เคยทำงานเป็นทนายความมาก่อนที่จะมาเป็นผู้พิพากษา มีความพยายามดิ้นรนแสวงหาพยานหลักฐานยังไงเพื่อให้ศาลเชื่อ แต่หากเป็นอาจารย์มาก่อนเป็นผู้พิพากษาจะมีแนวทางคนละแบบ เพราะอาจารย์จะได้ในด้านความรู้หรือวิชาการ แต่อาจไม่เคยทำในเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐาน ส่วนการทำงานที่ ก.ล.ต.เช่นเดียวกันต้องกล้าตัดสินใจ หากมีหลักฐานไม่เพียงพอต้องกล้าสั่งระงับการดำเนินคดี
“ผมเคยเป็นทนายทราบว่าการแสวงหาพยานหลักฐานโดยใช้วิธีการใด ทำอย่างไรให้น่าเชื่อถือ โดยผู้ที่เข้ามาชวนให้มาทำงานที่ ก.ล.ต.อธิบายว่า บทบาทการทำงานที่ ก.ล.ต.มีหน้าที่ดูแลในการรวบรวมพยานหลักฐาน ความสมบูรณ์ของหลักฐาน เพราะ ก.ล.ต.ปัจจุบันมีบุคลากรที่เก่งและมีความสามารถ แต่ยังขาดทักษะในการรวบรวมพยานหลักฐานให้มีความสมบูรณ์
“หาก ก.ล.ต.ทำงานรวบรวมหลักฐานมาได้ในระดับหนึ่งแล้วอาจยังไม่สมบูรณ์แล้วส่งต่อไปชั้นดีเอสไอหรืออัยการ หากได้รับความกรุณาจากดีเอสไอหรืออัยการอาจสั่งสอบเพิ่มให้ แต่หากมองว่าพยานหลักฐานที่ส่งมาไม่พออาจสั่งไม่ฟ้องจะสร้างความเสียหายมาก ข้อมูลที่รวบรวมได้หรือพยานหลักฐานที่รวบรวมได้ก่อนจะส่งไปต้องมีความสมบูรณ์มากที่สุด เจ้าหน้าที่ ก.ล.ต.มีความสามารถสูงมากในการหาหลักฐานมาจนได้ในความเชื่อมโยงหลักฐานต่างๆ
“ผมใช้เวลาคิดเพียง 1-2 สัปดาห์ก่อนตัดสินใจเข้ามาทำงานที่นี่ โดยจะนำประสบการณ์ตรงจากทั้งการเป็นทนายที่ต้องทำหน้าที่แสวงหารวบรวมหลักฐาน ผู้พิพากษาซึ่งต้องตัดสินชี้ขาดจากพยานหลักฐานที่ทั้งฝั่งโจทก์หรือจำเลยนำมาแสดง และอาจารย์พิเศษด้านกฎหมายของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อาจารย์ผู้บรรยายพิเศษ สำนักอบรมศึกษากฎหมายแห่งเนติบัณฑิตยสภา มาช่วยในการทำงาน ซึ่งหลังจากทำงานมาตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา เป็นงานเหมือนที่คิดไว้ทั้งหมด ทีมงานที่นี่มีกว่า 80 คน มีความตั้งใจ และมีศักยภาพสามารถคิดค้นการหาหลักฐานในรูปแบบใหม่ได้”
สำหรับระบบการทำงานของ ก.ล.ต. ปัจจุบันมีความร่วมมือระหว่างหน่วยงานรัฐ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) อยู่แล้ว ช่วยในการทำงานของ ก.ล.ต.ได้มาก ต่อไปจะมีความร่วมมือที่เข้มข้นมากขึ้น แต่ตอนนี้กำลังหารือร่วมกับ ปปง.ศึกษารูปแบบ วิธีการว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เพราะปัจจุบันติดอุปสรรคจากระเบียบข้อกฎหมาย
ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นคดีที่มีพยานหลักฐานไม่พอฟ้องผู้ต้องหากระทำความผิด ปปง.จะไม่สามารถช่วยได้ เพราะต้องปรากฏว่ามีความผิดพื้นฐานก่อน ปปง.จึงจะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย รวมถึงในทางปฏิบัติ ปปง.อาจไม่เข้ามาดำเนินการต่อก็ได้ เพราะเห็นว่าผู้กระทำความผิดถูกลงโทษไปแล้ว เช่น กรณีความผิดการใช้ข้อมูลภายในหาประโยชน์ส่วนตัวในการซื้อหรือขายหุ้น (อินไซเดอร์) ที่จับได้แล้วผู้ทำผิดถูกปรับเงินมากกว่าผลตอบแทนที่ได้แต่ไม่เกิน 2 เท่า ซึ่งไม่ปรากฏความผิดว่าได้นำเงินดังกล่าวไปฟอกหรือซุกซ่อน ส่วนกฎหมายการฟอกเงินหากปรับปรุงให้มีความเข้มข้นขึ้นได้จะเป็นเรื่องดี เพราะหาก ปปง.สามารถช่วยตรวจสอบเส้นทางเงินให้ก่อนได้ ซึ่งปัจจุบันยังทำไม่ได้ จะทำให้ ก.ล.ต.ทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น
ทางด้านความร่วมมือกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ขณะนี้หากกรณีเกิดขึ้นจะต้องหารือร่วมกันก่อนว่าหลักฐานลักษณะแบบนี้เพียงพอหรือไม่ ตลท.ควรหาหลักฐานใดเพิ่มเติมก่อนที่จะส่งหลักฐานมาให้ ก.ล.ต.ดำเนินการตรวจสอบต่อไป เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่ส่งหลักฐานเบื้องต้นที่สงสัยว่ามีการกระทำความผิดมาที่ ก.ล.ต. จากนั้นจะเป็นผู้หาข้อมูลเพิ่มเองและดำเนินการเองทั้งหมด ซึ่งช่วยให้การทำเคสเร็วขึ้น
ปัจจุบันผู้พิพากษาหรืออัยการมีความรู้ด้านเศรษฐกิจ คดีความเกี่ยวกับคดีเศรษฐกิจไม่มาก การหาผู้พิพากษาเพื่อไปทำงานที่ศาลภาษีทำคดีทางเศรษฐกิจจะหาบุคลากรได้ยาก ถึงขั้นมีช่วงที่ประธานศาลฎีกามีนโยบายกำหนดตัวบุคคลนั้นให้ทำงานในส่วนศาล ที่ดูแลคดีเศรษฐกิจให้ดูแลทำงานในสายงานด้านนี้นานๆ เพื่อให้เป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่โดยสภาพเป็นจริงไม่สามารถทำได้ เพราะมีอุปสรรคด้านลำดับชั้นของผู้พิพากษา เมื่อมีการเลื่อนตำแหน่งจะต้องพ้นจากหน้าที่เดิมไป หรืออาจเลื่อนการทำงานเมื่อถึงระยะเวลาระดับหนึ่งต้องเลื่อนขึ้นจากศาลชั้นต้นไปทำงานที่ศาลอุทธรณ์ เพราะศาลภาษีถือเป็นศาลชั้นต้นเท่านั้น
สาเหตุที่หาผู้พิพากษาหรืออัยการที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจ คดีความเกี่ยวกับคดีเศรษฐกิจยาก เพราะในอดีตประมาณ 20-30 ปีก่อน ธรรมชาติของคนที่ไม่ชอบเรียนด้านตัวเลขจะหนีมาเรียนนิติศาสตร์แทน
สมชายอธิบายย้อนถึงในช่วงเรียนว่า มีความสนใจในเรื่องกฎหมายธุรกิจอยู่แล้ว จึงได้เลือกลงเรียนวิชาบัญชีนักกฎหมาย วิชาเศรษฐศาสตร์ ทำให้พอมีความรู้ด้านนี้ ส่วนการทำงานจากผู้พิพากษามาสู่ ก.ล.ต. ยังอยู่ในสายงานบังคับใช้กฎหมาย ลักษณะงานเหมือนงานเดิมของผู้พิพากษาที่ทำอยู่แล้ว แต่งานเดิมของผู้พิพากษามีหน้าที่ชี้ขาดว่าอะไรถูกหรืออะไรผิด ซึ่งก่อนที่จะส่งมาถึงผู้พิพากษาจะมีกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวน อัยการ ทำหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ
ต้องกล้าตัดสินใจ ทำให้ดีที่สุด
แม้ว่า “สมชาย พงษ์พัฒนาศิลป์” จะอยู่ในวงการกฎหมายมานานกว่า 20 ปี แต่ก็มิใช่ว่าจะไม่มีความรู้เรื่องการลงทุนเอาเสียเลย เพราะเคยมีประสบการณ์ในการซื้อขายหุ้นมาเนิ่นนาน นับตั้งแต่ยุคที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยยังใช้การเคาะกระดานหุ้นสำหรับการเสนอซื้อและเสนอขายหลักทรัพย์ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบเทคโนโลยีในปัจจุบัน ประสบการณ์ของการเป็นนักลงทุนก็เหมือนคนทั่วๆ ไป ที่เคยมีกำไรและเคยขาดทุนมาแล้ว
แต่ในที่สุดก็ต้องขายหุ้นในพอร์ตออกมาทั้งหมดในช่วงปี 2550-2551 ไม่ได้เก็บเกี่ยวโอกาสที่เงินทุนต่างประเทศไหลบ่าเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย จนทำให้ดัชนีหุ้นไทยทะยานขึ้นแรงอย่างต่อเนื่อง สร้างสถิติตลาด หุ้นที่ให้ผลตอบแทนสูงติดต่อกันหลายปี เพราะในช่วงที่เป็นผู้พิพากษายังใช้เวลาหลังเลิกงานเพื่อเขียนหนังสือตำราเรียนด้านกฎหมาย และประมวลกฎหมายต่างๆ มีผลงานเขียนออกมาแล้วมากกว่า 20 เล่ม
และเมื่อมาทำงานที่ ก.ล.ต.ต้องเลิกลงทุนในหุ้น หันมาลงทุนในกองทุนรวม มอบเงินให้มืออาชีพบริหารแทน โดยในอดีตก่อนมาทำงานที่ ก.ล.ต.ยอมรับว่าการลงทุนในกองทุนรวมให้อัตราผลตอบแทนน้อยเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นเอง และยังต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือคอมมิชชั่นด้วย
“สมชาย” เริ่มเข้ามาทำงานที่ ก.ล.ต.ตั้งแต่ต้นปี 2559 แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่มีชื่อปรากฏผ่านสื่อมวลชนครั้งแรก เมื่อให้สัมภาษณ์เรื่อง ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการเสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 ในหลายเรื่อง หนึ่งในนั้นคือการออกบทลงโทษผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (บจ.) กรณีให้ข้อมูลคาดการณ์ทิศทางผลการดำเนินงานและแผนการดำเนินงานที่ไม่สามารถเกิดขึ้นจริง ไม่สมเหตุสมผล หรือให้ข้อมูลเท็จ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนจะเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณไตรมาส 3/2559
เมื่อปรากฏข่าวออกมา ก็เกิดกระแสโจมตี วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา และถือเป็นการรับน้องที่หนักทีเดียว สมชาย กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่มีความรู้สึกอะไร เพราะเป็นหน้าที่ของสื่อ เรื่องนี้เกิดขึ้นมาเพราะมีนักข่าวมาถามว่ามีบริษัทแห่งหนึ่งเพิ่มทุนจดทะเบียนบ่อยมากๆ และผู้บริหารให้สัมภาษณ์ว่าจะมีโครงการลงทุนต่างๆ พร้อมคาดว่าผลการดำเนินงานจะดีขึ้น ซึ่งกฎหมายที่จะออกมาดูแลการให้ข้อมูลของผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนก็ต้องดูถึงเจตนา ต้องมีหลักฐาน มีข้อมูล และมีโครงการมารองรับด้วย บางครั้งให้สัมภาษณ์ว่าจะมีนักลงทุนใหม่เข้ามาซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการหรือเทกโอเวอร์ แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงการพูดคุยเพื่อซื้อทรัพย์สินหรือซื้อบางธุรกิจออกไปเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการเทกโอเวอร์
ที่ผ่านมาก็มีประสบการณ์เรื่องสื่อวิพากษ์วิจารณ์ ยกตัวอย่างในช่วงทำงานอยู่ศาลเคยเป็นหน้าห้องของ รมว.ยุติธรรม “สุทัศน์ เงินหมื่น” ทำให้เห็นว่าไม่ว่าจะทำอะไรในเรื่องเดียวกัน สื่อสามารถเขียนได้ทั้งชมหรือ ตำหนิได้ทั้งหมด ช่วงนั้นไม่ดูเพียงเรื่องของ รมว.ยุติธรรม และกระทรวงนี้ไม่ได้มีประเด็นเกิดขึ้นมาก แต่ตอนนั้นได้ติดตามและเห็นการทำหน้าที่ของ “ธารินทร์ นิมมานเหมินท์” รมว.คลัง ในยุคนั้นถือเป็นไอดอลคนหนึ่งที่ดูเป็นแบบอย่างในการทำงาน เมื่อเข้ามาบริหารในช่วงเศรษฐกิจไทยเป็นช่วงขาลง โดนถล่มหนัก ตำหนิทุกเรื่อง แม้ว่าธารินทร์จะมีความตั้งใจทำงานแก้ปัญหามาก แต่ด้วยสภาพเศรษฐกิจไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นเรื่องของการทำงานว่าทำดีหรือไม่นั้น แม้จะมีสื่อมาวิจารณ์ตัดสินว่าเรา แต่อยู่ที่เราว่าได้ทำเต็มที่แล้วหรือไม่ บางครั้งผลที่ออกมาอาจจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่เราต้องการหรือคาดหมายไว้ แต่เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว ก็ต้องยอมรับความเป็นจริง
สำหรับคดีที่ “ท้าทายการทำงาน” ที่ผ่านมาไม่มี เพราะในช่วงการทำงานเป็นผู้พิพากษา ทนายความ ไม่มีเคสที่ยากและท้าทาย เพราะต้องรับทำทุกเคส แต่มีเคสที่เสียความรู้สึกว่าชาวบ้านถูกกระบวนการยุติธรรมรังแก ช่วงนั้นทำงานเป็นผู้พิพากษาที่ศาลภูเขียว จ.ชัยภูมิ ทำคดีที่ชาวบ้านขับรถรับจ้างมีจักรยานยนต์ขี่มาชนท้ายแล้วเสียชีวิต ถูกสั่งฟ้องคดีว่าประมาทถูกขังประมาณ 1-2 ปี เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าประกันตัว ประกอบกับในช่วงนั้นที่ศาลมีคดีจำนวนมาก ทำให้ต้องเลื่อนเวลาการตัดสินคดีนี้ เมื่อเข้าไปทำงาน ก็หยิบคดีขึ้นมาพิจารณา และตัดสินยกฟ้องคดี ซึ่งชาวบ้านคนนั้นก้มลงกราบ เพราะในความเป็นจริงกรณีลักษณะนี้ ตำรวจควรสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่แรกแล้ว กระบวนการยุติธรรมต้นน้ำต้องกล้าตัดสินใจ ภายใต้บทกฎหมาย พยานหลักฐาน เรื่องแค่นี้ไม่น่าจะปล่อยให้คนติดคุกนานเป็นปีๆ
สมชาย กล่าวถึงความท้าทายของการทำงานที่ ก.ล.ต.ว่า คือเหมือนเราลงมาเล่นเอง แตกต่างจากตอนเป็นผู้พิพากษาเหมือนการนั่งดูหลักฐานและข้อมูลที่คนเอาอะไรมาเสนอเรา เมื่อเห็นแล้วคิดว่าควรนำสิ่งนั้นสิ่งนี้มาเสนอเพิ่มเติม แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายอาจร้องเรียนว่าเราไม่เป็นกลาง ดังนั้นเมื่อมาอยู่ตรงนี้ก็จะต้องคิดให้รอบคอบมากที่สุด ซึ่งไม่ว่าคดีนั้นจะแพ้หรือชนะ ก็จะไม่มานั่งเสียใจ เพราะถือว่าได้ทำหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว


