ร้องปปท.สอบตำรวจเรียกเงินวิ่งเต้นคดีลักพระ
ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมเข้าร้อง ป.ป.ท. ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเงินค่าวิ่งเต้นคดีลักพระพุทธรูป
ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมเข้าร้อง ป.ป.ท. ตรวจสอบเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียกเงินค่าวิ่งเต้นคดีลักพระพุทธรูป
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ทนายความและประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.แห่งหนึ่ง ตั้งแต่ระดับสารวัตร ถึงระดับผู้กำกับ กรณีเรียกเก็บเงินผู้ต้องหา จำนวน 2.4 ล้านบาท พร้อมยื่นหลักฐานเป็นคลิปวีดีโอ คลิปเสียง และหลักฐานการโอนเงิน ต่อนายประยงค์ ปรียาจิตต์ เลขาธิการ ป.ป.ท.
นายอัจริยะ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีตำรวจ สน.นี้ ได้ทำคดีลักพระพุทธรูปในวัดภคนีนาถวรวิหาร ย่านบางพลัด เมื่อช่วงเดือน มิ.ย. 2557 ซึ่งมีนายสุพัฒนพงศ์ เตาลานนท์ หรือ นายอธิรินทร์ อัครเอกเวโรจน์ เป็นผู้ต้องหาคดีลักทรัพย์ โดยมีพระประสิทธิ์ โสภณ เป็นผู้เสียหาย ต่อมาตำรวจได้เสนอเรียกเก็บเงิน เพื่อให้ความช่วยเหลือในคดีดังกล่าว โดยอ้างว่ารู้จักกับอัยการและสามารถเคลียร์เรื่องทั้งหมดได้ พร้อมเรียกเก็บเงินในการช่วยคดีดังกล่าว รวมกว่า 2.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเรียกเก็บเงินและผู้ต้องหาได้ทยอยจ่ายให้กับทางตำรวจ ตั้งแต่ปี 2557 โดยมีหลักฐานการโอนเงิน คลิปบันทึกการจ่ายเงินตามสถานที่ต่างๆ
นายอัจฉริยะ กล่าวอีกว่า จากคดีดังกล่าว แท้จริงพบว่า พระประสิทธิ์ เป็นผู้ขายพระพุทธรูปในวิหารให้กับนายสุพัฒนพงศ์ จำนวน 2 องค์ ราคา 2 แสนบาท เมื่อตกลงซื้อขายพระได้ จึงให้อีกคนมายกพระเพื่อนำไปให้นายสุพัฒนพงศ์ แต่กลับมีการแจ้งความเกิดขึ้นภายหลัง โดยพระประสิทธิ์ ในฐานะผู้เสียหาย
นอกจากนี้ จะนำนายสุพัฒนพงศ์ เข้าพบพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในวันที่ 3 มี.ค.นี้ เพื่อให้ปากคำ และขอให้กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ใช้มาตรา 44 ในการสั่งย้ายตำรวจที่เกี่ยวข้องในคดีเพื่อไม่ให้ยุ่งกับพยานหลักฐาน และขอให้คุ้มครองพยานเนื่องจากมีการข่มขู่
นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า ยังพบการกระทำผิด เนื่องจากมีการออกหมายจับนายสุพัฒน์พงศ์เมื่อ 17 มิ.ย. 2557 ในข้อหาร่วมกันลักพระพุทธรูป แต่ถูกดองสำนวนจนขาดสัญญาประกัน และยังหลอกใช้หลักฐานเท็จขออำนาจศาลให้อนุมัติหมายจับใหม่เมื่อวันที่ 1 ธ.ค. 2558 โดยเปลี่ยนข้อหาเป็น ลักพระพุทรูปเพียงคนเดียว ซึ่งขณะนั้นตำรวจที่รับผิดชอบคดีได้ถูกโยกย้ายออกจากพื้นที่ไปแล้ว แต่กลับเป็นผู้มีอำนาจขออำนาจออกหมายจับนายสุพัฒน์พงษ์
นายประยงค์ กล่าวว่า ในส่วนของ ป.ป.ท. จะพิจารณาว่าเรื่องนี้อยู่ในอำนาจการตรวจสอบดำเนินคดีของ ป.ป.ท. หรือไม่ และฐานความผิดใช่หรือไม่ หากอยู่ในอำนาจของ ป.ป.ท. ก็จะสรุปเรื่องเสนอคณะกรรมการ ป.ป.ท. ให้ไต่สวน แต่ถ้าไต่สวนแล้วพบว่าอยู่ในอำนาจของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เราก็จะเสนอเรื่องไปที่ ป.ป.ช. ต่อไป ทั้งนี้ ในส่วนของ ป.ป.ท. ในกระบวนการดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณ 2 เดือน อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการไต่สวนของเรานั้นเหมือนกับ ป.ป.ช.ทุกอย่าง ซึ่งเราจะตรวจสอบข้อมูลและเอกสารหลักฐานจากผู้ร้อง และจึงไปดำเนินการกับผู้ถูกกล่าวหาต่อไป ทั้งนี้ ตนจะดำเนินการให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย


