หลวงพ่อวัดตูม มีน้ำมนต์ออกจากเศียรตลอด
โดย...ส.สต
โดย...ส.สต
หลวงพ่อทองสุข พระพุทธรูปทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิ แห่งวัดตูม จ.พระนครศรีอยุธยา น่าจะมีเพียงองค์เดียวในประเทศไทย ที่มีน้ำไหลจากพระเศียร กลายเป็นน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ให้ประชาชนนำไปปัดเป่าภัยและรักษาโรค
วัดดังแต่อดีต
หนังสือประวัติวัดตูม พิมพ์ ในงานกฐินพระราชทานของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2554 เล่าว่า วัดนี้เป็นวัดโบราณ มีมาแต่สมัยอโยธยาก่อนตั้งกรุงศรีอยุธยา เคยเป็นวัดร้างเมื่อครั้งพม่าบุกกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. 3210 ครั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 จึงมีผู้ปฏิสังขรณ์ขึ้นอีก และเป็นวัดหลวงที่มีพระสงฆ์จำพรรษามาถึงทุกวันนี้
วัดนี้เป็นวัดสำคัญ คือ เป็นที่สำหรับลงเครื่องพิชัยสงครามแต่ดั้งเดิม แต่พระในวัดนี้ไม่ได้ทำเอง หากแต่นิมนต์มาจากวัดอื่น เช่น นิมนต์พระวัดพระเชตุพน กรุงเทพฯ ขึ้นมาทำ เครื่องพิชัยสงคราม เป็นต้น
ในขณะที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จฯ ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายผ้าพระกฐินที่วัดตูมหลายครั้ง ฉะนั้นวัดนี้จึงเป็นพระอารามหลวงที่มีความสำคัญวัดหนึ่งใน จ.พระนครศรีอยุธยา และยิ่งกว่านั้นยังเป็นวัดที่ทำพิธีลงยันต์และอักขระธงพระกระบี่ธุชพระครุฑพ่าห์น้อย ที่บรรจุอยู่ในธงพระกระบี่ธุช (ผืนใหญ่) อันเป็นธงประจำตำแหน่งจอมทัพอีกด้วย
หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์
ส่วนหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์ ซึ่งพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตัก 87 ซม. สูง 150 ซม. ทรงเครื่องแบบมหาจักรพรรดิราชาอธิวาส สวมมงกุฎ มีกุณฑลทับทรวง สังวาลพาหุรัด ประดับด้วยเนาวรัตน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ แต่ก่อนนั้นชาวบ้านยังเคยเห็นเพชรพลอย ทับทิม ประดับตามพระอุระ พระพาหา บนพระอังสาทั้งสองข้างประดับอินธนู ปัจจุบันอันตรธานไปแล้ว
ที่แปลกประหลาดกว่าพระพุทธรูปองค์อื่นในประเทศไทย คือ พระเศียรตอนเหนือพระนลาฏเปิดออกได้และพระเกศมาลาถอดได้ เมื่อปิดไว้ตามเดิมแล้วจะแนบสนิทเกือบเป็นชิ้นส่วนเดียวกันไม่ปรากฏรอยให้เห็น
ภายในพระเศียรเป็นบ่อกว้างลึกลงไปเกือบถึงพระศอ มีน้ำไหลซึมออกมาตลอดเวลา เหมือนหยาดเหงื่อเป็นน้ำใสเย็นบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน สามารถรับประทานได้ ไม่มีอันตรายใดๆ และไม่เคยแห้ง ปรากฏเป็นอัศจรรย์อยู่เช่นนี้ตลอดเวลาหลายสิบปีแล้ว แม้จะตักน้ำออกมาแล้วใช้สำลีชุบหรือเช็ดให้แห้งหายไปสักกี่ครั้งก็ตาม น้ำก็ยังกลับมาเหมือนเดิม
น้ำในพระเศียรพระพุทธรูปนี้ ประชาชนเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เกิดขึ้นด้วยอำนาจอภินิหารและบารมี สามารถบำบัดรักษาสรรพโรคภัยไข้เจ็บและบรรเทาทุกข์ร้อน ให้ความสุขความร่มเย็นได้ จึงพากันเคารพนับถือว่าเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่เคารพของประชาชนทั้ง จ.พระนครศรีอยุธยา และใกล้เคียง
100 กว่าปีแล้วที่พบว่ามีน้ำศักดิ์สิทธิ์ในพระเศียร แม้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จฯ ทางชลมารคมาที่วัดนี้ เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 2451 ทรงมีพระราชนิพนธ์ตอนหนึ่งว่า “...พระพุทธรูปในพระอุโบสถนั้นมีแถวใน 3 แถวหน้า มีพระทรงเครื่องที่มีน้ำในพระเศียรองค์หนึ่ง...” พระทรงเครื่อง ก็คือ พระพุทธรูปหลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์องค์นี้เอง
นอกจากนั้น ข่าวการพบน้ำในพระเศียรของพระพุทธรูปเป็นที่เลื่องลือกันจนเป็นประวัติการณ์ ตั้งแต่สมัยพระอธิการชุ่มเป็นเจ้าอาวาส ในช่วงนั้นคนวิกลจริตชื่อนายคง ชาว อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่นุ่งผ้าได้เข้าไปในพระอุโบสถ ขึ้นไปบนฐานชุกชี ขึ้นนั่งคร่อมบนบ่า เอามือจับยอดพระเศียรพระโยกคลอนเล่นไปมาจนยอดพระเศียรหลุด เห็นน้ำเต็มเปี่ยมจึงเอามือวักมาดื่มกินด้วยความหิวกระหาย นายคงหายวิกลจริต มองตัวเองที่เปล่าเปลือยก็นึกสมเพช จึงไปขอผ้าพระมานุ่ง พร้อมกับเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พระฟัง
เจ้าอาวาสซึ่งรู้จักเรื่องทางบ้านนายคงดีอยู่ พอทราบเรื่องจึงได้เรียกมาสอบถาม นายคงก็ตอบได้ทุกเรื่อง แสดงว่านายคงได้หายจากวิกลจริตแล้ว นี่คือที่มาของการพบพระเศียรพระพุทธรูปสัมฤทธิ์เปิดออกจากกันได้ และมีน้ำศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพระเศียรด้วย เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ เลื่องลือกันไปทั่ว
จากเหตุการณ์นี้ชาวบ้านเห็นเป็นการสอดคล้องกันกับภาพปริศนาที่หน้าบันของพระอุโบสถที่เป็นรูปตัวตุ๊กแกเกาะอยู่ที่กึ่งกลางลายก้านขดโตๆ ส่วนหัวตุ๊กแกนั้นมีทิศทางที่ดิ่งตรงลงมาบนเศียรพระรูป ซึ่งเป็นการบอกใบ้ให้รู้ว่ามีของดีอยู่ในพระเศียรพระพุทธรูปในโบสถ์ ก็ได้
เรื่องราวของพระพุทธรูป “หลวงพ่อทองสุขสัมฤทธิ์” องค์นี้ ในด้านอภินิหาร เท่าที่ชาวบ้านได้ทราบและจดจำเล่าสืบต่อๆ กันมาจนถึงทุกวันนี้มีอยู่มากมาย เหลือที่จะพรรณนา
ปัจจุบันหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์หนึ่งเดียวในไทย ประดิษฐานในพระวิหารวัดตูมให้สาธุชนไปกราบนมัสการตลอดเวลา ท่านผู้อ่านอย่าลืมแวะไปบูชานะครับ


