ปัญหาพลังงานหนักสุด ควรหาทีมเสริมกู้เศรษฐกิจ
ออกตัวชัดเจนอยากเล่นการเมือง แต่เท่าที่ดูจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญเวลานี้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เห็นว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”
ออกตัวชัดเจนอยากเล่นการเมือง แต่เท่าที่ดูจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญเวลานี้ ม.ล.ณัฏฐกรณ์ เทวกุล เห็นว่า “ได้ไม่คุ้มเสีย”
“ผมต้องการมีบทบาทในการบริหารประเทศไทย แต่ว่าการเป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้การร่างรัฐธรรมนูญที่ร่างอยู่เวลานี้ ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะได้บริหารประเทศไทยจริงๆ มันมีเรื่องที่ต้องทำกำหนดไว้ จนไม่เห็นว่าเวทีนี้จะสามารถทำอะไรที่สร้างสรรค์ได้มาก”
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ วิเคราะห์ว่า ปัญหาเวลานี้ส่วนหนึ่งอยู่ที่บุคคลหน้าใหม่ไม่อาจเข้ามาสู่อำนาจ เวลานี้ไม่ควรมีแค่ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือเวลามีปัญหาเศรษฐกิจก็วิ่งไปหา ดร.โกร่ง รามางกูร หรือแม้แต่วงการทหาร ก็มีแต่บูรพาพยัคฆ์ที่เป็นใหญ่ทางการเมือง ส่วนนักกฎหมายสายที่เข้ามามีอำนาจก็ไม่เชื่อในการที่ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้ง
“วันนี้ปัญหาประเทศชาติคือเรื่องพลังงาน ถ้าเป็นผม สร้างไปหมดแล้ว ตายเป็นตาย ม็อบพวกนี้กลัวไปทำไม คุณเอา กปปส. เอาเสื้อแดง ให้นอนอยู่บ้านได้ แต่ทำไมเอาม็อบพลังงานอยู่บ้านไม่ได้ ทำไมเอาม็อบถ่านหินที่กระบี่อยู่บ้านไม่ได้ ทำไมไม่เอากฎหมายความมั่นคงมาใช้และเดินหน้าพลังงาน
“ผมหวังว่ารัฐบาลนี้จะทำเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ทำ พ.ร.บ.ปิโตรเลียมไม่รู้ค้างอยู่ที่ไหน สัมปทานปิโตรเลียมก็ไม่ทำ ทั้งที่ีต้องขุดเจาะก๊าซธรรมชาติเพิ่ม แต่ก็เข้าใจโครงสร้างที่มีอยู่และเครือข่ายทางการเมืองของฝ่ายที่คัดค้านเรื่องนี้ก็เล่นงานให้คนออกจากตำแหน่งได้เหมือนกัน เรื่องพลังงานคือเรื่องที่แย่ที่สุดของรัฐบาลรองจากอุยกูร์
“ผมเข้าใจภาพรวมการเมืองของประเทศไทยว่าเข้าไปก็ทำอะไรไม่ได้มาก ถามว่าอยากไหม อยาก ผมอยากมีอำนาจบริหารเต็มใบและจัดการปัญหาหาพวกนี้ ณ วันนี้ยังไม่มี ช่องทางถ้าจะสร้างไปถึงเป้าหมาย มันไม่คุ้ม มีแต่เสีย ทั้งชื่อ ทั้งเงิน อยากไปตรงโน้น แต่ตรงนี้เป็นสื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า”
ถามว่ายังคิดสนใจกลับไปลงสมัครผู้ว่า กทม.อีกรอบหรือไม่? ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ตอบทันทีว่า “ตอนนี้ผู้ว่า กทม. ไม่ได้อยู่ในเรดาร์ ส่วนตัวได้เห็นปัญหาต่างๆ มากมายในประเทศ แม้รัฐบาลนี้ก็ทำไม่สำเร็จ แต่หลายเรื่องก็ทำได้ มาถูกทาง รัฐบาลก็ทำอะไรเยอะ งานที่ออกมาเป็นฝีมือทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ณรงค์ชัย อัครเศรณี”
“คนที่ทำงานหนักที่สุดในมุมมองผมคือ ณรงค์ชัย โดนด่าเยอะสุดแต่ทำงานหนักเยอะสุด”
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ มองว่า ผลงานที่ผ่านมารัฐบาลทหารยังมีอุปสรรคมากมายมีหลายเรื่องสำหรับรัฐบาลนี้ที่ต้องระมัดระวัง ทั้งเรื่องอุยกูร์ที่ีไม่รู้ว่าใครเป็นคนแนะนำ แต่คนที่ีแนะนำลืมคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ถ้าคุณจะหาแพะเรื่องจีดีพี ส่งออก กับความเชื่อมั่น ทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นจากการตัดสินใจในเชิงนโยบายที่ผิดพลาดโดยตรงของหม่อมอุ๋ย
“วิเคราะห์การดำเนินงานด้านเศรษฐกิจที่ผ่านมา หากแยกผลงานของรัฐบาลเป็นเรื่องๆ คือ กระตุ้นเศรษฐกิจ การส่งออก จีดีพี ความเชื่อมั่น เกษตรกร ตรงนี้ยังทำไม่สำเร็จ ต้องพยายามบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ โดยเฉพาะปัญหาสำหรับเกษตรกรที่สินค้าราคาตก กำลังซื้อลดลง ซึ่งแก้ไม่ได้ตรงนี้ก็ต้องได้รับการแก้ไข”
งานที่เหลือแต่ละข้อที่หม่อมอุ๋ยทำ ต้องใช้เวลาลงรายละเอียดอย่างมากในแต่ละเรื่อง เช่น รถไฟกับจีนและญี่ปุ่น ถามว่าใครนั่งทำตรงนี้ให้รายละเอียดไม่ผิดพลาด การปรับลดหนี้ที่มาจากโครงการจากรัฐบาลชุดที่แล้ว จำนำข้าว และอีกหลายโครงการกี่แสนล้านบาท ที่ต้องมานั่งปรับกัน ใครทำ”
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ กล่าวว่า เรื่องที่ไม่ได้ทำและต้องทำและต้องกระตุ้น หลักๆ การจำนำข้าวอย่างรัฐบาลชุดที่แล้ว สร้างกำลังซื้อให้กับชาวนาจริง มันเยอะมาก อัดเงินลงระบบที่มีผลต่อการจับจ่ายชัดเจน และเห็นผลบริโภคในระดับรากหญ้า เกษตรกรมีรายได้เพิ่ม
“อย่างไรก็ตาม จะทำแบบรัฐบาลชุดที่แล้วไม่ได้ เพราะมีหนี้แล้วต้องมานั่งปรับโครงสร้างหนี้ตอนนี้ ทยอยขายข้าวจากสต๊อก เพราะฉะนั้นเป็นหน้าที่ มันมีความจำเป็นต้องช่วย ถ้าเกิดหาทางออกไม่ได้ก็ต้องหาทางเสริมบุคลากร นั่นคือหน้าที่นายกฯ ส่วนตัวไม่มีคำตอบเพราะเชื่อในฟรีมาร์เก็ต อย่างการลดต้นทุน พูดง่ายถึงเวลาทำยาก แต่จำนำให้เงินเยอะไปเลยไม่ยั่งยืนภาครัฐรับไม่ได้ระยะยาว”
ม.ล.ณัฏฐกรณ์ ยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ไม่มีโอกาสคุยกับ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เรื่องงานที่ทำ มีบางครั้งอยากเดินไปถามว่าขอให้ทีมงานสรุปเรื่องที่ได้ทำไปแล้วว่ามีเรื่องอะไร จะได้ช่วยเผยแพร่ เพราะที่ทำกันอยู่ ก็ไม่ได้ป่าวประกาศเรื่องพวกนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ ทำได้แต่ติดตามในฐานะสื่อมวลชน
“ส่วนหนึ่งเป็นปัญหาเรื่องการประชาสัมพันธ์ ประโยคสำคัญที่ไม่ได้ยิน และที่ควรจะได้ยินจากผู้มีอำนาจเรื่องนี้ กลไกควบคุมการวิจารณ์ที่มีกับเรื่องอื่นๆ แต่ไม่มีกับเรื่องที่เป็นการทำงานของรัฐมนตรีพลเรือน”
ต่อมา ลูกชายของรองนายกฯ ได้ระบุถึงผลงานของผู้เป็นพ่อว่า ผลงานของหม่อมอุ๋ยนั้นมีเพียบ ไล่เรียงมาตั้งแต่ 1.ตั้งศูนย์รวมข้อมูลดาต้าเซ็นเตอร์ใหม่ 2.ผลักดันการประมูลคลื่นความถี่ทั้งหมด (4G) 3.ปิดกั้นโอกาสล็อบบี้ของภาคเอกชนรายใหญ่ 4.เริ่มโครงการ National Broadband 5.ประสานความร่วมมือต่างประเทศในฐานะพลเรือน
6.ปรับโครงสร้างหนี้เกษตรกร 9 เเสนล้านบาท 7.ยกระดับราคายางขึ้นมาถึง 60 บาท/กก. 8.เจรจาจีน/ญี่ปุ่นลงทุนโครงการรถไฟ 9.พ.ร.บ./สัมปทานปิโตรเลียม/โรงไฟฟ้าเพิ่มเติม 10.ทำ MOU ตั้งคลังแอลเอ็นจีลอยน้ำกับเมียนมา 11.ออกใบอนุญาติลงทุนเปิดโรงงาน (ร.ง.)
12.ริเริ่ม-ก่อตั้ง-คุมร่างกฎหมายกระทรวงดิจิทัล 10+3 ฉบับ 13.ผลักดันไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานแสงอาทิตย์ AEC 14.เปิดศูนย์บริการเบ็ดเสร็จด้านการลงทุน (OSS) 15.จัดทำเเละผลักดันกฎหมายเก็บภาษีที่ดินเเละภาษีมรดก
ก่อนตบท้ายการสนทนาว่า “ผมไม่อยากให้พ่อผมถูกปรับออกเพราะ หนึ่งหม่อมอุ๋ย คอยสอดส่อง ป้องกันการทุจริต ซึ่งทำมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน และ สองทำงานไม่กลัวโดนด่า หากเห็นว่าถูกต้อง ก็ทำจริง ไม่ใช่แค่ส่งสัณญาณว่าจะทำ แต่เดินหน้าทำจนสำเร็จ”


