ทวารัฐ สูตะบุตร สตาร์ของ ข้าราชการ
ข้าราชการหลายคนอาจใช้เวลาทำงานเกือบค่อนชีวิตกว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูง
โดย...ชนิกา สุขสมจิตร
ข้าราชการหลายคนอาจใช้เวลาทำงานเกือบค่อนชีวิตกว่าจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในแต่ละองค์กร เป็นเกียรติประวัติแก่ตระกูล
แต่สำหรับ ทวารัฐ สูตะบุตร รองปลัดกระทรวงพลังงาน ผู้ที่รับหน้าที่เป็นแม่บ้านในการบริหารองค์กร เป็นโฆษกกระทรวงพลังงาน ทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องต่อสาธารณะ ท่ามกลางความขัดแย้งในเรื่องแนวคิดและการบริหารจัดการด้านพลังงานอย่างหนักหน่วงในระยะที่ผ่านมา และกำลังจะเข้าไปรับตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ซึ่งเป็นตำแหน่งเทียบเท่า “อธิบดี”
เขาใช้เวลาเพียงแค่ 16-17 ปี ในการทำงานเท่านั้น ก็ก้าวขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในหน่วยงานที่เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์ด้านพลังงานของประเทศ
แม้ไม่อาจนับเป็นผู้ที่มีอายุน้อยที่สุด เพราะเข้าทำงานราชการเมื่อจบปริญญาเอกวิศวกรรมศาสตรดุษฎีบัณฑิต (Civil & Environmental Engineering) จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งมลรัฐแมสซาชูเซตส์ (MIT) ประเทศสหรัฐ ในวัย 29 ปี
แต่ด้วยวัยเพียงแค่ 46 ปีเท่านั้น เขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นข้าราชการในระดับ 10 ระดับอธิบดี
ต้องบอกว่า ทวารัฐเป็น “สตาร์” ที่มีดีในตัวและไม่ธรรดา จึงถูกผลักดันจากผู้ใหญ่ในหลายๆ ยุคให้ทำงานใหญ่ระดับประเทศ
และเป็นผู้มีส่วนร่วมงานสำคัญระดับประเทศมามากมาย ไม่ว่าเป็นเลขานุการคณะกรรมการเตรียมการจัดตั้ง บริษัท ปตท. ในปี 2544 พอถึงปี 2545 ก็เป็นผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการจัดทำรายละเอียดการจัดตั้งกระทรวงพลังงาน
ปี 2548 ขึ้นเป็นหัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์ สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ปี 2549 เป็นผู้อำนวยการสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ ปี 2552 เป็นรองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ก่อนก้าวขึ้นเป็นรองปลัดกระทรวง
ทวารัฐ เล่าว่า กว่า 16 ปี ในการเป็นข้าราชการกระทรวงพลังงาน ถือว่าโชคดีที่อยู่ในยุคเปลี่ยนผ่านซึ่งมีความเปลี่ยนแปลงไปจากยุคเดิม อันมาจากความต้องการที่อยากให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีขึ้น โดยพบว่าโครงสร้างของบุคลากรในวงราชการ ประกอบด้วยกลุ่มคน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มพี่เก่า (ป้าลุง) กลุุ่มนี้เป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนระเบียบ ขั้นตอนราชการมายาวนาน รักองค์กร ยึดมั่นในขั้นตอน
กลุ่มที่สอง เป็นข้าราชการรุ่นใหม่ เป็นเด็กจบใหม่ ซึ่งเพิ่งเข้ามารับราชการในช่วง 3-5 ปีที่ผ่านมา คนเหล่านี้ความคิดกว้างไกล สามารถยึดโยงนโยบายกับชีวิตสาธารณะได้เป็นอย่างดี แต่มีข้อจำกัดคือ การเรียนรู้ในเรื่องข้อระเบียบ ข้อกฎหมาย ยังน้อยเกินไป
หัวใจสำคัญของงานราชการที่มีคน 2 กลุ่ม ทำให้ต้องทำตัวเป็นสะพานเชื่อมโยงคน 2 กลุ่มนี้ ให้ทำงานด้วยกันได้ เพราะการทำงานราชการแบบลุยเดี่ยว กองใครกองมัน ไม่ได้ตอบสนองยุคที่การบริการต้องใช้ความรวดเร็ว ทันใจ และถูกใจประชาชน
ประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาเคยทำงานกับทั้งสองกลุ่มนี้ โดยช่วงที่รับตำแหน่งรองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งเป็นกรมเก่าคลาสสิก คนรุ่นเก่าจะเยอะมาก ในขณะที่คนรุ่นใหม่อาจจะน้อย เราต้องผสมผสานให้คนสองระดับทำงานด้วยกัน
ต้องผสมระหว่างความเร็ว ความกว้างไกลทางความคิด กับความถูกต้องในระเบียบราชการ และผลกระทบข้างเคียง หลักการทำงานที่ดีที่สุดคือ สร้างหัวหน้าทีมขึ้นมาในแต่ละกลุ่ม เพื่อให้เกิดการสอนงาน คนเก่ามีประสบการณ์แต่คนใหม่ความคิดบรรเจิด ต้องเปิดเวทีให้เขาแสดง พี่เก่าต้องช่วยประคองน้อง
การทำงานในวงราชการ ไม่ว่าจะเป็นระดับผู้อำนวยการ อธิบดี รองอธิบดี จนมาเป็นรองปลัดกระทรวง หัวใจสำคัญของการบริหารต้องให้น้ำหนักกับวัฒนธรรมของ 2 เจเนอเรชั่น ให้คนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ให้ทำงานด้วยกันได้ ซึ่งต้องใช้เวลา โดยคนรุ่นใหม่ต้องการเวทีแสดงออก มีความรู้ มีแนวคิด อยากพูด อยากนำเสนอ ดังนั้นถ้าผู้บริหารให้โอกาส จะเป็นประโยชน์
“ผมเองก็เจอมากับตัวตอนรับราชการใหม่ๆ ตอนนั้นอายุ 29 ปี วิศวกรปิโตรเลียม กองเชื้อเพลิงธรรมชาติ กรมทรัพยากรธรณี โชคดีมีพี่ๆ ดูแลผมมาโดยตลอด ผู้บังคับบัญชาขั้นต้น คือ ท่านคุรุจิต นาครทรรพ ปลัดกระทรวงพลังงาน ท่านทรงภพ พลจันทร์ อดีตอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ท่านไกรฤทธิ์ นิลคูหา อดีตอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน ทั้งสามท่านถือเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นที่ให้ความกรุณาผมมาก ถือว่าใกล้ชิดกัน ต้องยอมรับว่า สมัยนั้นให้โอกาสเด็กใหม่มาก...
ผมได้เข้าประชุม พูดแสดงความเห็นอย่างเต็มที่ การมีเวทีทำให้คนรุ่นใหม่มีโอกาสฝึกฝน ลับคมความคิดของตัวเองได้ หลายครั้งคนรุ่นใหม่กล้าแสดงออก แต่เมื่อเจอคำถามนิ่มๆ อย่างท่านปลัดคุรุจิตที่มีประสบการณ์กว่า ถามย้อนคำถามกลับว่า สิ่งที่พูดที่เสนอมาทำมาแล้วได้อะไร ซึ่งบางครั้งคนรุ่นใหม่มัวแต่ไปเน้นเรื่องการแสดงออก แต่ลืมไปว่าคำตอบสุดท้ายคืออะไร”
ทวารัฐ กล่าวว่า เขายึดหลักการทำงานที่ว่า ผู้บริหารที่ดีต้องการให้โอกาสเด็กรุ่นใหม่ แต่วิธีการไม่ใช่ว่าปล่อยให้แบกโลก รับผิดชอบเพียงลำพัง ต้องทำหน้าที่เป็นโค้ชชิ่ง ช่วยไกด์ไลน์ จะทำให้น้องใหม่รู้จักกับการคิดทบทวนกับสิ่งที่เขานำเสนอ เพราะหลายครั้งที่จะเป็นกลุ่มที่คิดไว ทำเร็ว อยากเห็นผลทันที หากมีพี่เก่าเข้ามาช่วย ให้ใจเย็น มีเวลาคิดกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต จะเป็นส่วนช่วยให้รอบคอบ เฉียบคม มากขึ้น
สำหรับคนรุ่นเก่าหรือพี่เก่านั้น คนกลุ่มนี้คือความแม่นยำในเรื่องประเพณีปฏิบัติ มีความรักในองค์กร มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นข้าราชการ อย่างข้าราชการของ พพ. โดยพื้นฐานเป็นคนทำงานเร็ว แต่ด้วยระเบียบขั้นตอนที่กำหนดไว้ อาจต้องช้าบ้าง แต่สิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจงานราชการคือ ต้องรอบคอบ ถูกระเบียบตามขั้นตอนที่วางเอาไว้ พี่เก่าเหล่านี้ทำให้สบายไม่ต้องถูกสอบ สบายใจได้
แต่สภาพเศรษฐกิจและนโยบายพลังงานไปไกลมาก ถ้าไปยึดแบบแผนประเพณีปฏิบัติมากเกินไป อาจไม่ทันการณ์ แม้จะถูกระเบียบก็ตาม เราต้องกล้าตัดสินใจผสมผสานให้ได้
หลักการบริหารเพื่อให้คนรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ทำงานด้วยกันได้ ทวารัฐ บอกว่า “ผมว่าต้องประสาน ที่ผ่านมาผมชอบทำงานกับน้องๆ รุ่นใหม่ เพราะมีความรวดเร็ว หลายเรื่องทันสถานการณ์ แต่ก็สำนึกตลอดว่า การทำงานราชการ ต้องทำตามระเบียบปฏิบัติ กฎหมายที่วางขั้นตอนไว้ จะลัดขั้นตอนไม่ได้ ยังมีความจำเป็นให้พี่เก่ามาช่วยดูขบวนการ
ต่างๆ มิฉะนั้นคนรุ่นใหม่พลาดที ต้องถูกสอบ จะบั่นทอนกำลังใจ ออกจากระบบไปซะก่อน
วิธีการที่ทำให้คนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่าทำงานด้วยกันได้ จึงเป็นเรื่องสำคัญ เพียงแต่มีวิธีต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่า ทำงานด้านไหน ถ้าเป็นเรื่องแผน เรื่อง นโยบายแนวคิด จะให้น้ำหนักกับการทำงานของคนรุ่นใหม่มากกว่า แต่ถ้าทำงานที่เกี่ยวข้องกับระเบียบขั้นตอน การจัดซื้อจัดจ้าง การทำข้อกฎหมาย คงต้องพึ่งคนที่มีประสบการณ์มากหน่อย เรียกว่าใช้คนให้เหมาะกับภารกิจ
อีกวิธีการคือ การสร้างบรรยากาศถ่ายทอดวิทยายุทธ์พี่สู่น้อง อันนี้สำคัญ เพราะองค์ความรู้ของราชการเยอะมาก แต่ไม่เขียนไว้ ไม่มีคู่มือปฏิบัติ จะถ่ายทอดก็ต่อเมื่อบอกปากต่อปาก ฝึกฝนกันมา การจัดบรรยากาศให้ทำงานร่วมกัน สำคัญ ถ้าได้พี่ตัวอย่างที่ดีในทีม มีน้องใหม่ 4-5 คน ทำให้มั่นใจว่า อาจารย์ใหญ่คนนี้เก่ง คาดได้ว่าน้องๆ จะเดินในทิศทางที่ดี
หัวใจคือทำอย่างไรให้พี่เก่ายินดีที่จะฝึกน้อง ผมจึงเน้นการสร้างทีมย่อยขึ้นมาให้ทำงานร่วมกัน
การเข้ามารับราชการของกระทรวงพลังงานตลอด 15-16 ปี ยอมรับว่า ในระดับซี 9 ถึง ซี 10 ผมเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะเหมือนกับหลายหน่วยงานที่เป็นลักษณะนี้ จะได้เห็นผู้นำองค์กรอายุน้อยมากขึ้น แต่อาศัยประสบการณ์การทำงานกับรุ่นพี่ๆ ที่ได้สะสมมาเป็นบทเรียนสำคัญ ผมเจอครูมาเยอะ ตั้งแต่คุณแม่ ท่านคุรุจิต ท่านทรงภพ ท่านไกรฤทธิ์ เป็นครูที่ดีทั้งนั้น ต่างคนต่างสไตล์ แต่ว่าหลักการโค้ชที่ดีคือ ต้องมีการพูดคุยและอธิบาย มีปฏิสัมพันธ์กัน
อย่างท่านคุรุจิตเป็นคนรอบคอบในเรื่องงานเอกสารหนังสือราชการมาก ผมได้รับการฝึกฝนจากท่านมา ขนาดผมเป็นรองปลัดกระทรวงพลังงาน ท่านก็ยังแก้หนังสือของผมอยู่เลย แก้ไม่พอ มีโอกาสท่านสอนน้องว่าทำอย่างนั้นไม่ดีอย่างไร นี่คือพี่สอนน้อง
การเป็นข้าราชการรุ่นใหม่ที่เป็นสตาร์ เป็นข้าราชการรุ่นใหม่มักไฟแรงและโดดเด่นเป็นพิเศษอยู่แล้วในปัจจุบัน หัวใจสำคัญต้องบริหารตามความคาดหวัง ทั้งความคาดหวังของตัวเราและคนรอบข้างให้ได้ ซึ่งถือว่าหนักไม่น้อย
เพราะข้าราชการที่เป็นดาวรุ่งหรือสตาร์ จะถูกคาดหวังว่า ในอนาคตต้องเป็นผู้นำ และต้องยอมรับว่าดาวรุ่งจะมีความมั่นใจสูง แต่อยากให้สำนึกว่า การที่คนอื่นมาคาดหวังเรานั้น ให้รู้ว่ายังมีอะไรอีกเยอะที่เรายังไม่รู้ ขณะเดียวกันต้องมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ไปลามาไหว้พูดจาสุภาพ แต่ไม่ใช่เลีย ถ้าแสดงออกถึงความกร่างจะถูกมองทันที ที่สำคัญต้องมีความเคารพในระบบอาวุโส วางตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์”
การเป็นสตาร์หรือดาวรุ่งของข้าราชการนั้น ไม่ได้เริ่มจากการเป็นผู้บริหารทันที แต่เกิดขึ้นได้ตั้งแต่รับราชการใหม่ๆ อย่างทวารัฐนั้นพอเข้ามาก็เป็นสตาร์ของกรมทันทีจากประวัติส่วนตัว การศึกษา ชาติกำเนิด วงศ์ตระกูล เขาเป็นสตาร์ตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาทำงาน
สิ่งที่ทวารัฐสามารถรักษาความเป็นสตาร์อยู่ได้จนบัดป่านนี้คือ บริหารงานบนความคาดหวังได้เป็นอย่างดี และต้องทุ่มเท รับงานมาแล้วต้องทำให้ดีที่สุด ส่วนที่ไม่ได้ดังใจต้องปรับปรุง อย่าท้อ และอย่าถือว่าตัวเองเก่งแล้วเมินคนอื่น
มิเช่นนั้นสตาร์อาจดับได้ง่าย...


