posttoday

เร่งปิดคดี 99 ศพ โจทย์ใหญ่ "อธิบดีดีเอสไอ"

29 เมษายน 2558

คดีพิเศษส่วนใหญ่จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นคดีการชุมนุมทางการเมือง ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคดีพิเศษ ย่อมมีชื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

โดย...เอกชัย จั่นทอง

ต้องบันทึกบนหน้าประวัติศาสตร์ประเทศไทย สำหรับ “สุวณา สุวรรณจูฑะ” ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คนแรกที่เป็นผู้หญิง นับเป็นการนั่งเก้าอี้ตัวที่ร้อนที่สุดตัวหนึ่ง เพราะคดีที่อยู่ในมือแต่ละเรื่องล้วนเป็นเรื่องใหญ่ๆ ทั้งสิ้น โดยเฉพาะคดีการเมืองที่คั่งค้างพิจารณาอยู่หลายคดี

นับจากรับตำแหน่งมาจนถึงปัจจุบัน สุวณาบริหารดีเอสไอมาเป็นเวลา 6 เดือนแล้ว

องค์กรต้องปฏิรูปตัวเอง

สุวณาอธิบายการทำงานของดีเอสไอว่า การบริหารงานในช่วงประกาศใช้มาตรา 44 นั้น ดีเอสไอยังคงทำงานตามปกติ ไร้ปัญหากับการทำงานภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่มีแรงกดดันหรือถูกบีบจากฝ่ายการเมือง รูปแบบงานจะเน้นบริหารงานในทุกๆ ด้าน อาทิ บุคลากร สถานที่ทำงาน การทำคดีอย่างโปร่งใสเป็นธรรม ฯลฯ ช่วงที่ดำรงตำแหน่งผู้นำองค์กรพยายาม จัดระบบการทำคดีเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด แม้จะเป็นผู้หญิงคนแรกในฐานะผู้นำหน่วยงานแห่งนี้ก็ตาม หวังขับเคลื่อนภารกิจขององค์กรอย่างเต็มที่

“ดิฉันจะเข้าไปมีส่วนร่วมในทุกเรื่องของการทำงาน ไม่มีการชี้นิ้วสั่งหรือบังคับตั้งธงการทำงาน
เด็ดขาด เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วมอย่างทั่วถึง ระบบไหนไม่ดีก็ปรับปรุงให้เหมาะสม แฟ้มเอกสารทุกอย่างต้องผ่านสายตา ไม่ใช่เพียงเซ็นผ่านไปเท่านั้น หากระบบการทำงานไม่ดี แม้มีบุคลากรเก่งแค่ไหนก็ไม่ประสบความสำเร็จ”

อธิบดีดีเอสไอปรารภว่า อาชญากรรมพัฒนารูปแบบทันสมัยตลอดเวลา จึงต้องฝึกฝนการทำงานให้ก้าวทันทัดเทียมสังคมโลก อีกทั้งยังมุ่งเน้นทำงานในเชิงป้องกันหรือเชิงรุกมากขึ้น เนื่องจากการจับกุมเป็นปัญหาปลายเหตุ เช่น ปัญหาแชร์ลูกโซ่ดีเอสไอออกบรรยายให้ความรู้ทั่วภูมิภาคของประเทศ หวังลดปัญหาประชาชนถูกหลอก ปัญหาแชร์ลูกโซ่เป็นปัญหาของชาติ และต่อไปอาจเป็นวาระของชาติ ซึ่งมีผลกระทบจำนวนมากกับประชาชน

อธิบดีสุวณาเล่าต่อไปด้วยว่า ทุกวันนี้ไม่ใช่รอให้ใครมาปฏิรูปดีเอสไอ พวกเราต้องปฏิรูปตัวเอง มันเป็น “พลวัต” ทุกเรื่อง ถ้าทุกคนมานั่งทำงานแบบไม่รู้ร้อนรู้หนาวมันไม่ได้ ทุกคนต้องพัฒนา ต้องปฏิรูปตัวเอง อย่ามานั่งรอให้คนอื่นมาปฏิรูป พอถึงเวลาคนอื่นเขาปฏิรูปแล้วจะมาเรียกร้องอะไรนั้นคงเป็นเรื่องยากลำบาก

ย้อนอดีตที่ผ่านมาดีเอสไอถูกมองว่าทำคดีไม่เป็นกลาง และไร้ความยุติธรรม เธอได้ประกาศชัดเจนเลยว่า ไม่ต้องมาถามนโยบายการทำคดี ไร้ธงหรือตั้งแง่ในคดีทุกคดี มีหน้าที่เพียงอย่างเดียวทำคดีให้มีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและรวดเร็ว ภายใต้กรอบกฎหมาย

เร่งสางคดีการเมือง

แน่นอนว่าดีเอสไอมีคดีค้างเก่าสำคัญหลายเรื่อง โดยเฉพาะคดีทางการเมือง กำลังถูกจับจ้องจากสังคมว่าจะยุติธรรมโปร่งใสมากน้อยแค่ไหน หรือเป็นละครฉากหนึ่งเท่านั้น เมื่อคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่เคยถูกเก็บใส่ลิ้นชักอย่างดี ถูกเปิดขึ้นมาปัดฝุ่นอีกครั้ง ถือเป็นของร้อนอย่างยิ่งสำหรับอธิบดีดีเอสไอหญิงคนแรก

สุวณาย่อยแนวทางทำงานคดีค้างเก่าว่า พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม (ยธ.) สั่งให้ทำคดีค้างเก่าให้เสร็จสิ้น เช่น คดีการเมือง รุกป่า ค้ามนุษย์ สิ่งแวดล้อม เป็นต้น ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของคดี อีกทั้งยังมีคดีเกี่ยวข้องทางการเมืองกว่า 200 คดี เหลือเพียง 35 คดี ยังไม่สามารถส่งต่ออัยการได้ ทั้งหมดเป็นคดีการชุมนุมในปี 2553 จนปัจจุบันกินเวลามากว่า 5 ปี คดียังไม่ถูกส่งถึงอัยการได้อย่างสมบูรณ์ ยิ่งนานวันพยานหลักฐานค่อยๆ หายไป การค้นหายิ่งลำบาก หากไม่มีการวางแผนทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ คดีอาจเกิดความยุ่งยากในการสืบหาข้อเท็จจริง

ในที่สุดจึงมีการตั้งคณะชุดทำงานขึ้นมาใหม่เพื่อเสาะหาข้อเท็จจริงคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม 99 ศพ เหตุการณ์สลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่รัฐในสมัยรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น โดยมี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) เป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ในขณะนั้น

อธิบดีดีเอสไอบอกถึงการตั้งคณะทำงานชุดใหม่ว่า มีเจ้าหน้าที่ทำคดีบางคนเกษียณราชการ บางส่วนย้ายหน่วยงาน อีกทั้งเป็นคดีที่กินระยะเวลามานานพอควรและเป็นแนวทางการทำงานเพื่อสะสางคดีค้างเก่าทั้งหมด ไม่เฉพาะคดีการเมืองอย่างเดียวเท่านั้น

“คดีสลายการชุมนุม 99 ศพ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นคดีซับซ้อนยุ่งยาก พยานหลักฐานตรวจสอบยาก คณะทำงานทั้งตำรวจ ดีเอสไอ อัยการ ส่วนใหญ่เป็นชุดเดิมทั้งหมด มีเพียงการเพิ่มเจ้าหน้าที่เข้าไปเพิ่มอีก เติมเต็มส่วนที่ขาดไป เพื่อให้คดีรวดเร็วชัดเจน เป้าหมายคือทำให้คดีเสร็จสมบูรณ์ ทุกคดีต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนสามารถตอบคำถามสังคมได้ ไม่ใช่ว่าดีเอสไอมีธงไว้ และทำคดีอย่างตรงไป
ตรงมา”

สำหรับข้อกังวลที่หลายฝ่ายมองว่าอาจมีการเมืองชี้นำการทำคดี โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบัน สุวณา กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ในห้วงเวลาที่ตนนั่งเก้าอี้ผู้นำองค์กรนี้ ที่ผ่านมาไม่มีนักการเมืองคนใดเข้ามาแทรกแซงการทำงาน และไม่มีความหนักใจในการทำคดีแม้แต่น้อย ต้องยอมรับว่าคดีพิเศษส่วนใหญ่จะมีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเกี่ยวข้อง ไม่จำเป็นต้องเป็นคดีการชุมนุมทางการเมือง ถ้าขึ้นชื่อว่าเป็นคดีพิเศษ ย่อมมีชื่อข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งสิ้น

ทว่า เกิดคำถามตามมาด้วยเมื่อมีการรื้อฟื้นคดีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุม 99 ศพ จะใช้เวลาหรือปิดคดีนี้ได้หรือไม่ นั่นคือคำถามจากสังคมที่เฝ้าดู และในฐานะผู้นำดีเอสไอ เธออธิบายกรอบการทำคดีว่า บางคดีที่ไม่สามารถหาผู้กระทำความผิดได้ หรือผู้เสียหายถึงแก่ความตายว่าตายตรงไหน ลักษณะแบบนี้ก็ไม่สามารถหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมต่อการสอบสวนได้ อาจเสนองดการสอบสวนต่ออัยการก่อน จะเสนอภายใน 30 วัน แต่หากมีหลักฐานเพิ่มก็รื้อขึ้นมาทำใหม่ เป้าหมายคือทำงานให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แต่ยังไม่ระบุวันเวลาที่ชัดเจน บางคดีควรจะส่งอัยการได้แล้ว ยืนยันทุกคดียุติธรรมโปร่งใส

ค้านยุบรวมอัยการสูงสุด

ข้ามเรื่องเผือกร้อนของคดีดังกล่าว ตัดมายังปมการยุบดีเอสไอรวมกับสำนักงานอัยการสูงสุด อีกเรื่องร้อนแรงไม่แพ้คดีสลายการชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิต 99 ศพ เป็นแนวคิดของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) อธิบดีดีเอสไอมองว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยุบรวมกับสำนักงานอัยการสูงสุด หากแต่ยังไม่เหมาะสมในห้วงเวลานี้ที่จะยุบรวมกัน เนื่องจากยังไม่ชัดเจนเรื่องโครงสร้าง รวมถึงการทำงานอาจเกิดผลกระทบตามมาได้ในอนาคต

“หากจะยุบรวมกันคิดว่าคงยังไม่มีความจำเป็นถึงขนาดนั้น ซึ่งก็ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าทำไมต้องไปอยู่ภายใต้การกำกับการของสำนักงานอัยการสูงสุด”

หลากหลายเรื่องร้อนแรงภายใต้การนำของอธิบดีดีเอสไอหญิงจะฝ่าฟันปัญหาสารพัดและนำพาองค์กรอย่างดีเอสไอให้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ ถือเป็นเกมท้าทายชีวิตข้าราชการหญิงคนนี้อย่างยิ่ง

ข่าวล่าสุด

ล้ำไปอีกขั้น เสื้อกั๊ก AI ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองขยับแขน