'โกเอ็นก้า' อะไร?
หลังจากได้ยินคร่าวๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่เข้มข้นแบบ “โกเอ็นก้า” มากว่า 10 ปี ผู้เขียนได้ตัดสินใจร่วมหลักสูตร 10 วันที่ศูนย์ลำพูน
หลังจากได้ยินคร่าวๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมที่เข้มข้นแบบ “โกเอ็นก้า” มากว่า 10 ปี ผู้เขียนได้ตัดสินใจร่วมหลักสูตร 10 วันที่ศูนย์ลำพูน เป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่ายิ่ง ทำให้อยากบอกเล่าต่อ โดยจะเริ่มที่ประวัติความเป็นมาเพราะน่าสนใจมาก
สัตยา นารายัณ โกเอ็นก้า (S.N.Goenka) เป็นคนเชื้อสายอินเดีย เกิดที่ประเทศพม่าเมื่อปี 2467 ในครอบครัวนักธุรกิจที่นับถือศาสนาฮินดูอย่างเคร่งครัด หนุ่มน้อยโกเอ็นก้าสอบได้เป็นที่ 1 ในประเทศพม่า และได้รับทุนจากรัฐบาลให้ไปเรียนต่อ แต่ที่บ้านต้องการให้ออกมาช่วยงาน จึงไม่เคยเรียนระดับปริญญา ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวต้องย้ายกลับไปอินเดีย หลังสงครามเขากลับมาที่ย่างกุ้ง มาเปิดธุรกิจการค้าและโรงงานหลายแห่ง
นายโกเอ็นก้า ประสบความสำเร็จในทางโลกเป็นอย่างดี ทั้งเงินทอง เกียรติยศ และการยอมรับในวงกว้าง รัฐบาลแต่งตั้งให้อยู่ในคณะที่ปรึกษาของกระทรวงพาณิชย์และอุตสาหกรรม ได้รับสัญชาติพม่า เป็นผู้ก่อตั้งและประธานคนแรกของสภาหอการค้าและอุตสาหกรรม ดูเหมือนเป็นชีวิตที่สมดุลด้วยกิจกรรมด้านวัฒนธรรมและงานสังคมสงเคราะห์ ที่เริ่มจากชุมชนอินเดียและศาสนาฮินดู นอกจากนี้เขายังเขียนหนังสือและบทกวีอีกด้วย
แต่โกเอ็นก้ามีปัญหาสุขภาพมาก เป็นโรคปวดหัวไมเกรนอย่างรุนแรง ถึงขนาดแพทย์ต้องฉีดมอร์ฟีนให้เป็นระยะๆ จนเกรงว่าจะเสพติดยา และต้องใช้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงเดินทางไปเสาะหาผู้เชี่ยวชาญไมเกรนทั่วโลก เช่น ที่สวิส อังกฤษ อเมริกา ญี่ปุ่น แต่ก็หาทางแก้ไขหรือลดความทุกข์ทรมานไม่ได้
กลับมาถึงประเทศพม่าจึงมีเพื่อนแนะนำให้ไปฝึกวิปัสสนากับ “อูบาขิ่น” ซึ่งเป็นอธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้แก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่นด้วยการให้ข้าราชการเข้าอบรมวิปัสสนาในศูนย์ที่ท่านก่อตั้งและบริหาร ต่อมารัฐบาลพม่าเลยแต่งตั้งให้เป็นอธิบดีดูแลอีก 3 กรม แม้อูบาขิ่นจะรับงานไหวเพราะวิปัสสนาช่วยให้ทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด แต่ท่านก็ไม่รับเงินเดือนเพิ่มตามสิทธิที่พึงได้
ก่อนจะเข้าฝึกวิปัสสนาในปี 2498 ท่านอูบาขิ่นตั้งเงื่อนไขให้นายโกเอ็นก้าปรับทัศนคติให้ถูกต้องว่า ถ้าจะมาฝึกก็เพื่อใช้ธรรมะในการชำระจิตใจและดำรงชีวิต ไม่ใช่มาเพื่อรักษาโรคถึงแม้อาจจะเป็นผลพลอยได้ หลังจากโกเอ็นก้าเข้าหลักสูตร 10 วัน โรคไมเกรนก็หายไปอย่างน่าอัศจรรย์ เขาจึงศึกษาและปฏิบัติต่อไป เนื่องจากการ “ทวงคืน” ธุรกิจต่างๆ (Nationalistion) ของประเทศพม่าที่เข้าสู่ระบบสังคมนิยม โกเอ็นก้าจึงมีเวลาศึกษาและปฏิบัติกับท่านอูบาขิ่นอย่างเต็มที่
ผ่านไป 14 ปี เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์สอนวิปัสสนาเพื่อนำ “ธรรมะ” กลับไปเผยแผ่ในประเทศอินเดีย อันเป็นดินแดนต้นตำรับวิปัสสนาที่ได้สูญหายไปเป็นพันปีแล้ว แต่วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ตอนที่ตรัสรู้และทรงสอนผู้คนหลากหลายศาสนาและชั้นวรรณะในตอนเหนือของอินเดียจนปรินิพพานนั้น ได้ถูกถ่ายทอดอย่างบริบูรณ์ในหมู่คณะสงฆ์ในประเทศพม่าตลอด 2,300 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ท่านอูบาขิ่นเป็นลูกศิษย์ฆราวาสของพระอาจารย์ซายาดอที่ลือชื่อ
ก่อนจะเกิดศูนย์วิปัสสนาที่พักค้างแรมได้ในแต่ละประเทศ การฝึกอบรบมักจัดขึ้นที่วัดในศาสนาต่างๆ ไม่ว่าฮินดู พุทธ เชน สุเหร่ามุสลิม และโบสถ์คริสต์ มีการจัดวิปัสสนาให้กับนักโทษ ตำรวจ และเยาวชน รัฐบาลหลายรัฐในประเทศอินเดียให้เจ้าหน้าที่ลาไปเข้าอบรมวิปัสสนาหลักสูตรต่างๆ โดยไม่หักเงินเดือน เพราะถือว่าจะทำให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงานสูงขึ้น
วิปัสสนาได้เผยแพร่ออกไปทั่วโลก เพราะผู้ฝึกได้รับประโยชน์จากการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ มีชีวิตส่วนตัวและการงานราบรื่นขึ้น เป็นสุขง่ายขึ้น แก้ปัญหาความเครียดในชีวิต และการเสพติดทั้งสิ่งกระตุ้นทางร่างกายและนิสัยที่ไม่เป็นคุณต่างๆ
ก่อนเสียชีวิตในปี 2556 อาจารย์โกเอ็นก้าได้รับเชิญไปปาฐกถาทั่วโลก รวมทั้งที่ประชุมสุดยอดสันติภาพโลกที่สหประชาชาติ ในปี ค.ศ. 2000 (UN Millennium World Peace Summit) และเสวนาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ที่เมืองดาโวส ประเทศสวิส
ปัจจุบันมีศูนย์วิปัสสนาโกเอ็นก้าทั่วโลก 130+ แห่ง กับสถานที่จัดอบรมอื่นๆ อีก 200 กว่าแห่ง โดยหลักสูตรและการดำเนินการเป็นมาตรฐานเดียวกันหมด คือ ใช้เทปเสียงหรือวิดีโออาจารย์โกเอ็นก้าสอนเป็นภาษาอังกฤษโดยมีการแปลเป็นภาษาท้องถิ่น มีอาจารย์ผู้ช่วยสอนกว่าหนึ่งพันคน เป็นการอบรมฟรีไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เงินทุนในการก่อสร้างและดำเนินการมาจากการบริจาคของผู้ที่เคยเข้าอบรมเท่านั้น ธรรมบริกรและอาจารย์ก็ล้วนเป็นอาสาสมัคร
ในประเทศไทยศูนย์วิปัสสนาแห่งแรกเริ่มที่ปราจีนบุรี ในปี 2535 ปัจจุบันมี 8 ศูนย์ในภูมิภาคต่างๆ และกำลังขยายอีกราวเท่าตัว ทั้งหมดดำเนินการในนามมูลนิธิส่งเสริมวิปัสสนากรรมฐานในพระสังฆราชูปถัมภ์
จุดเด่นของแนวทางอาจารย์โกเอ็นก้า คือ เน้นความเป็นสากลของวิปัสสนาโดยไม่ผูกกับศาสนาใด ทำให้เกิดความปราศจากพิธีรีตอง เช่น ไม่มีพระพุทธรูป ไม่มีการทำวัตรสวดมนต์
แต่ก็มีการสอนธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างครบถ้วนในประเด็นหลักๆ อาทิ อธิบาย “ขันธ์ 5” ให้เข้าใจง่าย โดยสอนในแนววิทยาศาสตร์ ครอบคลุมทั้งฟิสิกส์ ชีวเคมี และเมธาฟิสิกส์ (Ontology) และให้พิจารณาดูผลลัพธ์จริงที่ประจักษ์จากการทำวิปัสสนา
วิธีการสอนและการผจญภัยของวิปัสสนาเป็นอย่างไร ผู้เขียนจะได้เล่าจากประสบการณ์ตรงในสัปดาห์ต่อๆ ไป


