posttoday

ปล่อยกู้นาโนไฟแนนซ์ไม่รุ่ง เจอกฎหมายทวงถามหนี้

03 กุมภาพันธ์ 2558

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

โดย...ชลลดา อิงศรีสว่าง

พระราชบัญญัติประกอบธุรกิจสินเชื่อรายย่อย (นาโนไฟแนนซ์) ได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ม.ค. 2558 เป็นต้นไป ทำให้เกิดความคึกคักในการยื่นขอใบอนุญาต ซึ่งธนาคารแห่งประเทศแห่งไทย (ธปท.) ระบุว่า มีผู้แสดงความสนใจแล้วประมาณ 14 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อรายใหม่ตามหัวเมืองในต่างจังหวัด

ทั้งรัฐบาล กระทรวงการคลัง และ ธปท. คาดหวังว่า นาโนไฟแนนซ์จะช่วยให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ ที่ ธปท.เคยทำการสำรวจในปี 2556 พบว่า มีประชากรมากเกือบ 6 แสนครัวเรือน ที่พึ่งพาเงินกู้นอกระบบ และมีประชากรมากถึง 1.3 ล้านครัวเรือน ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินได้  และมั่นใจว่าเมื่อมีนาโนไฟแนนซ์เกิดขึ้นแล้ว และจะช่วยลดหนี้นอกระบบได้

รณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายกำกับสถาบันการเงิน  ธปท. กล่าวว่า การให้สินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ไม่ได้ต้องการให้ประชาชนกู้ไปใช้จ่าย แต่ต้องกู้ไปสร้างอาชีพ เป็นหนี้ที่มีโอกาสที่จะได้คืนมาเป็นรายได้ นอกจากนั้นในการขออนุญาตการปล่อยสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์ ธปท.จะพิจารณาแผนการดำเนินการของผู้ประกอบการด้วยว่ามีความระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อมากแค่ไหน และกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร เพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์อย่างแท้จริง

สาระของกฎหมายสินเชื่อนาโนไฟแนนซ์เป็นเงินกู้ที่ให้แก่บุคคลเพื่อไปประกอบอาชีพ ให้กู้รายละ 1 แสนบาท โดยไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ไม่ต้องมีบัญชี งบดุลแสดงรายได้ที่มาของเงินอย่างชัดเจน รัฐอนุญาตให้คิดดอกเบี้ยเงินกู้ได้ 28-36%

สิ่งที่น่าสนใจคือ การเปิดให้ทำธุรกิจนาโนไฟแนนซ์แล้วจะทำให้การกู้เงินนอกระบบลดลงจริงหรือไม่ เพราะผู้ที่จะใช้บริการมักจะเป็นลูกค้ากลุ่มรากหญ้าและที่หันไปหาเงินกู้นอกระบบส่วนหนึ่งก็ไม่ได้นำเงินไปใช้ทำธุรกิจ แต่นำเงินไปแก้ไขปัญหาชีวิตด้านอื่น เช่น ชำระหนี้แทนลูกหลาน นำเงินไปใช้ค้ำประกันลูกหลานที่ต้องคดีความ เป็นต้น

นอกจากนี้ อุปสรรคใหญ่หลวงต่อการให้กู้คือ พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ ที่ผ่านการพิจารณา 3 วาระ จากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ไปแล้ว กฎหมายอยู่ในการพิจารณาของกฤษฎีกา และ รอประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ ประชา ชัยสุวรรณ ประธานชมรมผู้ติดตามทวงถามหนี้ที่เป็นธรรม ยืนยันว่า พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ จะทำให้สถาบันการเงินผู้ให้สินเชื่อบุคคลภายในระบบ จะใช้วิธีการฟ้องลูกหนี้แทนการทวงถามตามปกติ

สำหรับข้อห้ามที่ระบุไว้ใน พ.ร.บ.ทวงถามหนี้ มี 5 ข้อ ได้แก่ 1.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ติดต่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ลูกหนี้ เว้นแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลสถานที่ติดต่อลูกหนี้

2.ห้ามกระทำการในลักษณะที่เป็นการละเมิด และคุกคาม ในการติดตามทวงถามหนี้ อาทิ ใช้ความรุนแรง ใช้วาจา หรือภาษา ดูหมิ่น ถากถาง เสียดสี การเปิดเผยความเป็นหนี้ของผู้บริโภคแก่ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง

3.ห้ามทวงหนี้เกินสมควรแก่เหตุ รวมถึงการติดต่อทางโทรศัพท์วันละหลายครั้ง และก่อให้เกิดความเดือดร้อน รำคาญ สำหรับวันทำการให้ติดต่อได้ในเวลา 08.00-20.00 น. ส่วนวันหยุดราชการติดต่อได้ในเวลา 08.00-18.00 น. เว้นแต่ได้ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษร

4.ห้ามมิให้ผู้ติดตามหนี้ทำให้เกิดความเข้าใจผิดในการติดตามทวงหนี้ เช่น ทำให้เข้าใจว่าเป็นการกระทำของศาล เจ้าพนักงานบังคับคดี รัฐ หน่วยงานของรัฐ ทนายความ หรือสำนักงานกฎหมาย ทำให้เชื่อว่าหากไม่ชำระหนี้จะถูกดำเนินคดี ถูกยึดหรืออายัดทรัพย์หรือเงินเดือน ข่มขู่ว่าจะดำเนินการใด ทั้งที่ไม่มีอำนาจจะกระทำได้ตามกฎหมาย

5.ห้ามไม่ให้ผู้ติดตามหนี้ ติดตามทวงถามหนี้ในลักษณะที่ไม่เป็นธรรม อาทิ เรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือค่าใช้จ่ายใดๆ เว้นแต่ได้มีการตกลงไว้ล่วงหน้า ติดต่อลูกหนี้เกี่ยวกับหนี้โดยทางไปรษณียบัตร เอกสารเปิดผนึก หรือโทรสาร ใช้ภาษา สัญลักษณ์ ชื่อทางธุรกิจ บนซองจดหมายในการติดต่อลูกหนี้ ที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการติดตามทวงถามหนี้

ประชา ระบุว่า การแก้ปัญหาการติดตามทวงถามหนี้ที่ไม่เป็นธรรม ควรออกมาใช้กับการทวงถามหนี้นอกระบบมากกว่า เพราะหนี้นอกระบบคิดดอกเบี้ยแพง โหด ไม่เสียภาษี และใช้ผู้มีอิทธิพล มาเฟีย รวมถึงบุคคลในเครื่องแบบ ทำการติดตามทวงถาม แม้ว่าจะมีกฎหมายอะไรออกมา กลุ่มหนี้นอกระบบก็ไม่สนใจอยู่ดี ดังนั้นตำรวจควรทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายให้เคร่งครัดขึ้น

นอกจากนี้ เห็นว่ากฎหมายทวงหนี้จะทำให้ธนาคารหรือสถาบันการเงินต่างๆ ลดการปล่อยสินเชื่อบุคคลลง เพราะมีความเสี่ยงมากขึ้น และยิ่งผลักให้ผู้บริโภคออกไปหาสินเชื่อนอกระบบมากขึ้น เป็นการส่งเสริมให้สินเชื่อนอกระบบเติบโต

ประชา เห็นว่า กฎหมายนี้ออกมาเพื่อคุ้มครองผู้ที่ผิดนัดชำระหนี้หรือเบี้ยวหนี้ ไม่ได้คุ้มครองคนที่เป็นลูกหนี้ดีที่จ่ายเงินต้นบวกดอกเบี้ยอยู่ทุกเดือน คนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่า ต้องจ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่สูง เพราะผู้ประกอบการต้องนำผลกำไรจากดอกเบี้ยไปชดเชย กลุ่มลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้หรือเบี้ยวหนี้ และต้องใช้จ่ายในการจ้าง บริษัทฯ ติดตามหนี้ จ้างทนายความฟ้องคดีเรียกหนี้คืน

ฉะนั้น กฎหมายของรัฐบาลที่ออกมาช่วยลูกหนี้ทั้งสองฉบับนี้ สวนทางกันเอง ในขณะที่ต้องการให้คนเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายขึ้น อีกทางหนึ่งกลับทำให้เจ้าหนี้ทวงหนี้ยากยิ่งขึ้น ฉะนั้นจึงไม่แน่ใจว่ารัฐช่วยหรือไม่ช่วยลูกหนี้กันแน่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยในปีนี้ว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว โดยในปี 2557 หนี้ครัวเรือนทั้งระบบจะแตะ 88-89% ได้  โดยผู้นำการก่อหนี้ของครัวเรือนในปีนี้จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้ระดับปานกลาง เปลี่ยนไปจากปีที่แล้วเป็นกลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล จะเป็นการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่ออเนกประสงค์ และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจ

อย่างไรก็ดี ครัวเรือนรายได้น้อย ที่ส่วนใหญ่มีสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้ค่อนข้างสูงจะเผชิญข้อจำกัดในการก่อหนี้ใหม่ กลุ่มครัวเรือนรายได้ต่ำจะมีอัตราการชำระหนี้อยู่เหนือระดับ 50% ของรายได้ต่อเดือน ปัญหาใหญ่มาจากค่าครองชีพสูงกว่ารายได้  การขอเงินกู้เพิ่มจากสถาบันการเงินในระบบ จึงจะถูกจำกัดจากความสามารถชำระหนี้ กลุ่มนี้อาจจะต้องไปพึ่งพาเงินกู้นอกระบบ แม้จะมีนาโนไฟแนนซ์ ทางผู้ประกอบการนาโนไฟแนนซ์อาจไม่เสี่ยงให้กู้ก็เป็นไปได้

ข่าวล่าสุด

งานเข้า! EU สอบสวน Google ข้อหาผูกขาดเนื้อหาให้กับ AI ของบริษัท