ผงะบัญชีส่วย 'เสี่ยโจ้' จ่ายแหลก ตร.น้ำ ดีเอสไอ
ความคืบหน้าในการขยายผลแก๊งน้ำมันเถื่อนเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.)
ความคืบหน้าในการขยายผลแก๊งน้ำมันเถื่อนเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (ผบช.ก.) มีความชัดเจนจาก พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่แถลงว่า จากการตรวจเอกสารบัญชีจ่ายส่วยขบวนการน้ำมันเถื่อนของ สหชัย เจียรเสริมสิน หรือ เสี่ยโจ้ ผู้มีอิทธิพลในภาคใต้ตอนล่าง ซึ่งหลบหนีหลังถูกนำตัวขึ้นศาลจังหวัดปัตตานี พบว่า มีการจ่ายส่วยน้ำมันเถื่อนให้กับหลายหน่วยงาน โดยมีการระบุชื่อผู้บังคับการ ผู้กำกับการ ผู้อำนวยการปราบปรามทางทะเล ซึ่งเป็นหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่ตำรวจ นอกจากนี้ยังระบุยอดเงินที่จ่ายสูงที่สุดหนึ่งครั้ง 12 ล้านบาท เขียนว่าเป็นรายการของตำรวจน้ำ เช่น 5 ล้านบาท 6 ล้านบาท และ 12 ล้านบาท ไม่ระบุว่าต่อเดือนหรือต่ออะไร
“มีทั้งชื่อเล่น เช่น รองโส ผกก.โย๊ะ ชื่อเหล่านี้ในกองบังคับการตำรวจน้ำรู้จักกันดีว่าเป็นใคร ดีเอสไอมีการระบุค่าเบี้ยเลี้ยงให้คนนั้นคนนี้ ยังมีค่าส่งข่าวในศาล ซึ่งผมก็ไม่รู้มีไว้ทำไม ต้องสอบสวนต่อ หากหน่วยงานไหนร้องขอมาผมก็จะส่งบัญชีให้ มีทั้งตั๋วเครื่องบิน อั่งเปา สารพัด มีเกือบทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ภาคใต้ชายฝั่งติดทะเล” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผช.ผบ.ตร.) รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รรท.ผบช.ก.)ได้เรียกประชุมตำรวจจากทุกกองบังคับการในสังกัด บช.ก. ตั้งแต่ระดับผู้กำกับการ ขึ้นไปถึงผู้บังคับการ เข้าร่วมประมาณ 160 นาย โดยย้ำว่าหลังจากนี้ไป บช.ก.ต้องทำงานเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของสอบสวนกลางที่เคยมีชื่อเสียงในอดีต โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนจากนี้ หากทำงานไม่สำเร็จจะปรับย้ายให้เกิดการหมุนเวียน
พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ได้มีคำสั่ง บช.ก. ให้ผู้กำกับการ 5 ตำรวจน้ำ รับผิดชอบภาคตะวันออกผู้กำกับการ 7 ตำรวจน้ำ รับผิดชอบภาคใต้ตอนล่าง และผู้บังคับการเรือ (สบ 4) กลุ่มงานเรือตรวจการณ์ จ.ชลบุรี ช่วยราชการ ศปก.บช.ก. โดยขาดจากตำแหน่งเดิม เพื่อเปิดโอกาสให้การตรวจสอบข้อเท็จจริง
พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาราชการแทนผู้บังคับการกองปราบปราม (รรท.ผบก.ป.) กล่าวว่า ได้ยกเลิกศูนย์เฉพาะกิจที่ตั้งขึ้นทั้งหมด16 ศูนย์ ให้เหลือไว้เพียงศูนย์ปราบปรามมือปืนรับจ้างและผู้มีอิทธิพลเท่านั้น เพื่อป้องกันการเรียกรับผลประโยชน์ต่างๆ
วันเดียวกัน ศาลจังหวัดพระโขนงได้อนุมัติให้ฝากขัง 5 ผู้ต้องหาในเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ประกอบด้วย ณัฐพล อัครพงศ์ปรีชา สิทธิศักดิ์ อัครพงศ์ปรีชา ณรงค์ อัครพงศ์ปรีชา สุทธิศักดิ์ สุทธิจิตต์ และชากานต์ ภาคภูมิ ข้อหา ข่มขู่ ทวงหนี้ กรรโชกทรัพย์ เพื่อหาประโยชน์โดยมิชอบ หมิ่นสถาบันเบื้องสูง โดยได้ส่งเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร
พล.ต.ท.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กล่าวว่า ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา และยังมีคดีเพิ่มที่ สน.วัดพระยาไกร และ สน.พระโขนง มีการกระทำผิดเหมือนกัน โดยเฉพาะที่ สน.วัดพระยาไกร มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดที่ก่อเหตุลักพาตัวเจ้าหนี้ โดยให้ผ่อนผันหนี้สินจาก 100 ล้านบาท เหลือ 20 ล้านบาท
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ณัฐพล เดิมมียศ ว่าที่ พ.ต. แต่ขณะจับกุมได้รับแจ้งจากผู้บังคับบัญชาว่ามีการถอดยศและปลดจากการเป็นนายทหารราชองครักษ์แล้ว ส่วน สิทธิศักดิ์ ก็มีคำสั่งถอดยศ จ.ส.อ. แล้วเช่นกัน ขณะที่ ณรงค์ ซึ่งเป็นข้าราชการในสำนักพระราชวัง ก็มีการปลดออกเรียบร้อยเช่นกัน ตามคำสั่งของ จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์
บวรเวท รุ่งรุจี อธิบดีกรมศิลปากร แถลงว่า การตรวจสอบโบราณวัตถุ ซึ่งยึดจากเครือข่าย พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ รวมกว่า 3 หมื่นชิ้น จะใช้เวลาตรวจสอบ 2 เดือน แต่เท่าที่ดูเทวรูปหินทรายที่มีโค้งยึด หากเป็นของจริง ก็จะเป็นมรดกที่มีความเก่าแก่มาก ราวพุทธศตวรรษที่ 12 ซึ่งจะต้องอยู่ในเทวสถาน หรือปราสาทหิน คาดว่าหากใช้จริงก็คงนำมาจากประเทศเพื่อนบ้าน


