posttoday

"ช้างเร่ร่อน"ปัญหาแก้ไม่ตกเพราะทำเงินหลักล้าน

02 กันยายน 2557

ส่องเบื้องหลังปัญหาช้างเร่ร่อนที่ยังไม่สามารถแก้ไขให้หมดไปได้ จากเหตุผลสำคัญนั่นคือการเป็นธุรกิจเงินล้านที่มีนายทุนหนุนหลัง

โดย.......นรินทร์ ใจหวัง

เอาช้างกูคืนมา!! วลีเด็ดจากหนังดังที่ทำให้เราได้เห็นความเป็นอยู่ของคนเลี้ยงช้าง(แบบไม่เอามาเร่ร่อน) จะเห็นได้ว่าช้างตัวหนึ่งมีความสำคัญทั้งเรื่องของจิตใจผู้เลี้ยงและในแง่ของธุรกิจเพราะช้างหนึ่งตัวนอกจากนำมาใช้งานลากซุง ชักไม้ได้แล้ว เรื่องของการท่องเที่ยวก็มีพลังไม่น้อยไปกว่ากัน

ทว่ากับอีกอาชีพที่หากินกับความใจอ่อนของคนไทย อย่างช้างเร่ร่อนก็สามารถทำเงินได้มากกว่าครึ่งแสนต่อเดือนที่เดียว และนี่เองจึงเป็นต้นต่อของธุรกิจเช่าช้างที่ใครๆ ก็อยากเข้ามาทำธุรกิจนี้กัน

แม้คนกรุงจะไม่เห็นภาพช้างติดแผ่นซีดีไว้ที่หาง พร้อมคนเดินขายอาหารถุงเล็กๆ แล้ว แต่ช้างเร่ร่อนกลับไม่ได้มีจำนวนลดลง เพราะมันได้ถูกส่งไปหากินยังหัวเมืองจังหวัดต่างๆ แทนต่างหาก

แนวทางการแก้ไขปัญหาช้างเร่ร่อนที่ยั่งยืน

แม้จะมีหลายคนเสนอว่า หากนำช้างกลับไปคืนป่าก็น่าจะเป็นการแก้ปัญหาช้างเร่ร่อนให้หมดไปได้ แต่ โซไรดา ซาลวาลา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนช้างกล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า คงไม่มีป่ามากพอสำหรับช้างแล้ว ดังนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่าการเลี้ยงช้างเป็น วิถีชีวิต วัฒนธรรมที่อยู่กับคนไทยมานานแล้วเราจะสนับสนุนคนเลี้ยงช้างอย่างไรให้เขามีอาชีพ มีเงินมากพอ ที่ไม่ต้องนำช้างออกไปรอนแรม เร่ร่อน และหยุดธุรกิจเช่าช้างให้หมดไป

ช้างเร่ร่อนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีธุรกิจการเช่าช้างเกิดขึ้น จึงทำให้ประเทศไทยมีการล่าช้างป่าออกมาเป็นช้างบ้านเพิ่มมากขึ้น และเจ้าของช้างก็อ้างว่าเป็นช้างจากบรรพบุรุษตกทอดกันมา แต่สิ่งที่ไม่สอดคล้องกันคือจำนวนช้างที่มากขึ้นแบบก้าวกระโดด ทำให้เชื่อได้ว่าไทยยังมีการนำเข้าช้างจากเพื่อนบ้านอีกด้วย การแก้ปัญหาที่ดีในตอนนี้คือ การจัดทำตั๋วรูปพรรณช้างใหม่ขึ้น

“จำนวนประชากรช้างเลี้ยง เมื่อ10 ปีที่แล้ว เรามีช้างอยู่ประมาณ 3,000 เชือก ตอนนี้ตัวเลขออกมา ทั้งจากปศุสัตว์ ทั้งกรมอุทยาน บอกว่ามีมากกว่า 4,000 เชือก  ก็น่าตกใจว่ามาจากไหนอีกพันกว่า”โซไรดา ระบุ 

รีเมคตั๋วรูปพรรณ

หลังจากมีคณะรักษาความสงบสุขแห่งชาติ (คสช.) ทางมูลนิธิเพื่อนช้าง ก็ยืนหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขอให้พิจารณาแก้ไข ปัญหาช้างในประเทศไทย ซึ่งได้รับเสียงตออบรับที่ดี โดยมีการส่งเรื่องไปยังกระทรวงมหาดไทย และมีหนังสือตอบกลับมาว่า จะจัดให้มีการแก้ไข ปัญหาการจัดทำตั๋วรูปพรรณ สัตว์พาหนะช้าง โดยการยกร่าง แก้ไขเพิ่มเติมสัตว์พาหนะ ช้าง ม้า วัว ควาย ลา ล่อ โดยกำหนดให้เป็นรูปเล่มที่สะดวกต่อการพกพา และมีรายละเอียดทั้ง ตำหนิ รูปพรรณ ไม่ได้เป็นเพียงกระดาษเอสี่ เหมือนอดีต โดยในตั๋วใหม่จะระบุ เลข ไมโครชิพด้วย

“ในอดีตแม้ปศุสัตว์จะฝังไมโครชิพให้ แต่กฎหมายไม่ได้บังคับ ฉะนั้น ใส่หรือไม่ก็ได้ ปัญหาคือ เวลาตรวจที่มาของช้าง  บางเชือกเจอไมโครชิพถึง 3 อัน  บางเชือกไม่มี เราเป็นองค์กรแรกของประเทศที่ฝังไมโครชิพช้างที่ป่วย เพื่อจะได้รู้ว่าเราเคยฉีดวัคซีนแล้วเมื่อไหร่ จะได้ไม่ซ้ำ บางที่ช้างป่วยแล้วพามาหาเราปรากฏว่าเขาเปลี่ยนชื่อช้างใหม่ แต่เราอ่านไมโครชิพ เราถึงรู้ว่าช้างไม่ใช่ชื่อนี้  เป็นการขายต่อให้คนใหม่ ก็ถือตั๋วใหม่ มันเกิดความสับสน”โซไรดากล่าว

ช้างเร่ร่อนยังแก้ยากเพราะเม็ดเงินมหาศาล

“รายได้มากกว่า 50,000-60,000 ต่อเดือน ช้างหนึ่งตัวจะมีคนตาม 4-5 คน ก็แบ่งกันคนละ หมื่นกว่า –2หมื่น บางพื้นที่ยังมากกว่านั้น แต่ความเป็นอยู่เขาไม่ได้ดีนะคะ ก็ต้องรอนแรมไม่ต่างกัน”

โซไรดา ชี้ให้เห็นว่า ราคาช้าง 1 ตัวในตลาดตอนนี้มีราคาไม่แพ้รถญี่ปุ่นสเปคดีคันหนึ่งเลยทีเดียว

“มีการขึ้นทะเบียนช้างที่จังหวัด 1-2 แห่ง ภาคเหนือกว่า 1,500 เชือก ซึ่งไม่รู้มาจากไหน ช้างไม่ใช่ถูกๆ นะคะ ตัวละล้านกว่า เมื่อปี2536 ช้างตัวเล็กตัวละ 50,000 ช้างใหญ่ขี้เหร่ๆก็ 150,000  ดีหน่อยก็ 600,000 – 900,000 บาท แต่เดี๋ยวนี้ขี้เหร่ๆ ยัง 700,000 บาทเลยค่ะ ถ้าเป็นช้างสวยๆ แม่พันธุ์มีลูกด้วย 1,200,000  ปั่นราคากันจนวุ่นวาย  เราก็ตั้งคำถามว่า ช้างตัวเป็นล้าน แล้วเอามาเดินเนี่ย เขาได้อะไร  เพราะเขาเช่ามา เขาต้องได้ซิ  คนที่นำมาไม่ใช่เจ้าของตัวจริงค่ะ มีนายทุนเป็นเจ้าของ”นักอนุรักษ์หญิงอธิบาย

วันนี้เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ช้างเร่ร่อนไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย จะเห็นได้ว่าหลายพื้นที่ยังมีช้างเร่ร่อน ออกทำมาหากินกับควาญมากมาย นั่นก็เพราะว่า แต่ละพื้นที่ยังมีการให้โควต้า นำช้างเข้ามาทำมาหากินได้ในพื้นที่ต่างๆ ในจำนวนที่ต่างกันไป

“เมื่อปลายปีที่แล้ว เทศบาลแกลง จังหวัดระยอง ออกบัญญัติ ห้ามช้างเดิน แห่งที่ 2 ของประเทศ รองจากกรุงเทพฯ ขณะที่ จังหวัดอื่นๆ ยังผ่อนปรน เช่น ภูเก็ต มีโควต้าเท่านี้เชือก ห้ามเกินเท่านี้เชือก ถ้าจะเอาตัวนี้ไปก็เอาตัวอื่นมาเติมได้”

โซไรดา แนะว่า ควรจัดตั้งบ้านพักพิง แก่ช้างและควาญในเมืองที่พร้อมจะดีกว่า โดยการสร้างงาน สร้างอาชีพให้ทั้งควาญและช้าง จากการให้คนซื้อตั๋วเข้าไปเลี้ยงช้าง ดูช้างอาบน้ำ โดยที่ไม่ต้องมีการฝึกช้างให้ทำอะไรนอกเหนือจากธรรมชาติของมัน

“ที่สุรินทร์ทำแล้ว คนที่เป็นควาญช้างก็มีเงินเดือน 5,000 บาท ช้างก็มีเงินเดือน 5,000 บาท ช้างสบายอย่างเดียว คนลำบากก็ไม่ได้ ค่าอาหารจากคนที่ซื้อตั๋วเข้าไปดูช้างอาบน้ำ  ไม่ต้องแสดงอะไรนะ เป็นการให้ช้างอยู่กึ่งธรรมชาติ เหมือนเป็นบ้านหลังสุดท้าย อยู่ในสภาพที่ใกล้ธรรมชาติที่สุด  คนที่อยากมาเยี่ยมก็มา  ไม่ได้อยู่ได้ด้วยธุรกิจ แต่ด้วยความดูแลจากภาครัฐ”

ขอร้อง!ต้องเปลี่ยนข้อกฎหมาย

หญิงแกร่งแห่งมูลนิธิเพื่อนช้าง ยังวิงวอนไปยังเจ้าหน้าที่บ้านเมื่องที่มีอำนาจในการปรับเปลี่ยนกฎหมาย เพื่อการเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของช้าง เพราะที่ผ่านมามีข่าวการใช้งาน การฝึก การทำร้ายช้างที่เกินกว่าเหตุ แต่กฎหมายคุ้มครองสัตว์คู่บ้านคู่เมืองกลับมีน้อยมาก และเป็นกฎหมายกว้างๆ เช่น มาตรา 381ผู้ใดกระทำการทารุณต่อสัตว์ หรือฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกข์เวทนาอันไม่จำเป็น ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำ ทั้งปรับ หรือ มาตรา382 ผู้ใดใช้ให้สัตว์ทำงานเกินสมควร หรือให้ให้ทำงานอันไม่สมควร เพราะเหตุที่สัตว์นั้นป่วยเจ็บ ชรา หรืออ่อนอายุ  ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท เท่านั้น

“ขอวิงวอน รัฐบาลใหม่ เสนอร่างนี้โดยด่วนด้วย เพราะมาตรา381เจ้าหน้าที่รัฐต้องเห็นก่อนว่าเกิดการทารุณกรรมถึงจะจับ เราคนธรรมดาเป็นเจ้าทุกข์ไม่ได้  แต่อันใหม่ใครก็เป็นเจ้าทุกข์ได้ ยกตัวอย่างแค่ หมา โดนวางยา เราเป็นเจ้าทุกข์ได้เลย และโทษก็ต้องหนักด้วย

เคยมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องช้างโดยเฉพาะ แต่ผ่านไป เขาก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งจับช้าง เขาก็ไปทำงานอื่นเสีย เพราะไม่ใช่หน้าที่ตรง หรือแม้แต่คนที่เลี้ยงช้างเขารู้ทัน ก็ไสช้างหนี หรือเอาหินปาเทศกิจหัวแตกบ้าง ลำบากมาก

เราจึงขอเรียกร้องกฎหมายใหม่ ที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่มีสิทธิปฎิเสธเรา บางทีเราร้องเรียน 191  มูลนิธิเคยแจ้งไปว่า มีช้างอยู่ที่ถนนรัชดาฯ เขากลับบอกว่า คุณก็ไปจับเองซิ แล้วก็วางหูไปเลย ตั้งแต่สมัยยังมีช้างอยู่ที่กทม. เราร้องเรียนไป เขาก็บอกให้โทรหน่วยงาน โน่นนี่ เราเองเป็นมูลนิธิก็โดนเหมือนกัน"โซไรดากล่าว

หลากความเห็นผู้คนกับช้างเร่ร่อน

ลองฟังความคิดเห็นของคนที่เคยซื้ออาหารเลี้ยงช้างกัน แล้วจะเห็นภาพว่าทำไมธุรกิจช้างเร่ร่อน  จึงอยู่ได้ และยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

อัจจ์ฉริยภัคร นุชอนงค์ พนักงานเอกชนสาวชาวราชบุรี “เคยให้ค่ะ สงสารมันเลยให้ไป ก็เคยคิดนะว่าเป็นการสนับสนุนธุรกิจช้างเร่ร่อน แต่เห็นแล้วก็สงสาร กลัวมันยังไม่ได้กินอะไร ที่ราชบุรีเยอะมาก ตามข้างทาง ร้านหมูกะทะยิ่งเยอะ ส่วนใหญ่จะเป็นลูกช้างด้วย เห็นแล้วก็รู้สึกแย่มากที่เอามันมาเดินบนพื้นถนน ซื้อทีถุงละ 20มีของอยู่นิดหนึ่ง คงกินไม่อิ่มหรอก ส่วนใหญ่ไม่มีใครชอบหรอก แต่ก็ต้องยอมเสียเงิน ให้มันได้กินบ้าง เดินมาทั้งวันแล้ว อยากจะแจ้งใครให้มาจัดการแต่ไม่รู้จะทำอย่างไง แต่ไม่สนับสนุนเลย ถ้าตำรวจยอมรับแจ้งก็ดีสิ กลัวเขาจะไม่สนใจมากกว่า”

ศุกลภัทร อินฮุย หญิงสาวชาวชลบุรี “ก็เป็นแง่การทำมาหากินค่ะ เพราะช้างไม่ได้เร่ร่อนเขามีเจ้าของ พอทำงานเสร็จเขาก็พาช้างกลับที่พัก เราเห็นความน่ารักของช้างและ20บาทไม่ใช่เงินมากมายอะไรถือว่าเป็นการช่วยกันเลี้ยงช้าง ซึ่งจะเยอะมากตามตลาดนัด หนูเจอประจำหน้าศาลากลางชลบุรี แม้แต่งานวัดก็ยังเจอ ก็ให้เป็นครั้งคราวค่ะ หนูเชื่อว่า เขาไม่ได้เป็นช้างเร่ร่อน ก็ถ้ามีเจ้าของเร่ร่อนได้ไง”

ด้านเกศวดี แก้วทองแท้ ชาวนครปฐม “ไม่เคยซื้อของให้ช้างเพราะเชื่อว่า อย่างไงช้างก็ไม่ได้กิน-อยู่ดีขึ้น แต่สงสารนะ แต่คิดๆดู ช้างได้กินอ้อยที่เราซื้อก็จริง แต่คงไม่อิ่ม แล้วเงินที่ซื้ออ้อยละ 100% ช้างไม่ได้กินอีกแน่”

 

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง