posttoday

สมเด็จพรเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี (จบ)

15 มิถุนายน 2557

ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ภายหลังมาในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งองค์ใหญ่พระโอรสเจ้าฟ้ากุณฑลเป็น เจ้าฟ้า พระราชทานนามว่า "อาภรณ์" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า "เจ้าฟ้าอาภรณ์" แต่องค์กลาง องค์ปิ๋วนั้นก็ได้ยินเรียกกันอยู่ว่า องค์กลาง องค์ปิ๋ว ดังเช่นเรียกกันมาแต่เดิม ครั้นแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระนามพระองค์กลางว่า "มหามาลา" แต่นั้นมาคนทั้งหลายจึงรู้เรียกกันว่า เจ้าฟ้ามหามาลา องค์ปิ๋วนั้นสิ้นพระชนม์เสียแต่ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคตนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีมีพระชนมายุได้ 26 พรรษา ได้ทรง ทำนุบำรุงเลี้ยงเจ้าฟ้าพระราชโอรส 3 พระองค์ต่อมาด้วยความลำบากอย่างยิ่ง ในเรื่องการศึกษาของเจ้าฟ้าพระโอรสนั้น ปรากฏว่า ได้ทรงมอบให้สุนทรภู่เป็นพระอาจารย์ถวายพระอักษรมาแต่ปลายรัชกาลที่ 2 กล่าวคือ ในปลายรัชกาลที่ 2 โปรดให้ท่านสุนทรภู่เป็นครูสอนหนังสือถวายพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอาภรณ์ เป็นผลให้ชาติไทยได้มีกลอนอมตะอยู่ ณ ทุกวันนี้ คือ "สวัสดิรักษา" ซึ่งสุนทรภู่แต่งถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์และเพลงยาวถวายโอวาทซึ่งแต่งถวายเจ้าฟ้ากลาง เรื่องสวัสดิรักษานั้นขึ้นต้นว่า "สุนทรทำคำสวัสดิรักษา ถวายพระหน่อบพิตรอิศรา ตามพระบาลีเฉลิมให้เพิ่มพูน"

เรื่อง "สวัสดิรักษา" นี้ สันนิษฐานกันว่าคงจะแต่งขึ้นถวายระหว่างปี 2364-2367 ก่อนพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสด็จสวรรคต นอกจากนั้นสันนิษฐานกันว่า สุนทรภู่จะได้เริ่มแต่งเรื่องสิงหไตรภพตอนต้นๆ ถวายเจ้าฟ้าอาภรณ์ในตอนนี้ด้วย เพราะมีคำกล่าวไว้ในเรื่องรำพันพิลาปของสุนทรภู่เอง เมื่อพูดถึงเจ้าฟ้าอาภรณ์ สุนทรภู่เรียกพระนามแฝงว่า "พระสิงหไตรภพ"

ในจดหมายเหตุเก่าเรื่อง "ว่าด้วยคำพูดของคนชั้นเก่า" มีว่า พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งเรียกเจ้าฟ้าอาภรณ์ว่า "หนูอาภรณ์" รับสั่งเรียกสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ว่า "เจ้าหนูกลาง" และรับสั่งเรียกองค์ปิ๋วว่า "เจ้าหนูปิ๋ว" ดังนี้

สมเด็จพรเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี (จบ)

 

เมื่อสุนทรภู่ออกบวชแล้ว ต่อมาในปีฉลู ปี 2372 สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ทรงฝากเจ้าฟ้ากลาง คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ กับเจ้าฟ้าปิ๋ว ซึ่งเวลานั้นพระชันษาได้ 11 ปีพระองค์หนึ่ง 8 ปีพระองค์หนึ่ง ให้เป็นศิษย์ สุนทรภู่ เหมือนอย่างเจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เคยเป็นศิษย์มาในรัชกาลที่ 2 แล้วสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีก็ทรงส่งเสียอุปการะสุนทรภู่ต่อมา นอกจากนั้นสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดียังได้ทรงฝากเจ้าฟ้าพระราชโอรสทั้ง 3 พระองค์ให้เป็นศิษย์สมเด็จ เจ้าฟ้ามงกุฎ คือ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะนั้นผนวชอยู่วัดบวรนิเวศวรวิหารอีกด้วย

ในรัชกาลที่ 3 นี้ พระโอรสพระองค์ใหญ่ คือ เจ้าฟ้าอาภรณ์ได้เริ่มรับราชการ คือ ได้ทรงช่วยกำกับกรมพระคชบาล เจ้าฟ้ากลาง (เจ้าฟ้ามหา มาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์) ได้รับราชการในกรมวัง ส่วนเจ้าฟ้าชายปิ๋วนั้นไม่ปรากฏว่าได้ทรงรับราชการแต่อย่างใด เพราะยังทรงพระเยาว์

เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 3 นั้น เจ้านายชั้นเจ้าฟ้าชายซึ่งเป็นพระราชโอรสรัชกาลที่ 2 พระองค์สำคัญมีเพียง 5 พระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ามงกุฎ (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) เวลานั้นผนวชอยู่ตลอดรัชกาลที่ 3 พระองค์หนึ่ง สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี (พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว) ซึ่งในรัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาเป็นสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ได้ว่ากรมทหารปืนใหญ่พระองค์หนึ่ง เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์นี้ เป็นเจ้าฟ้าพระโอรสในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และมีพระชันษาแก่กว่าเจ้าฟ้า 3 พระองค์ในสมเด็จเจ้าฟ้า กุณฑลทิพยวดี

ในรัชกาลที่ 5 พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้า กุณฑลทิพยวดีพระองค์หนึ่ง คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงเป็นเจ้านายชั้นสูงศักดิ์ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเคารพนับถือมากด้วยเหตุว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ ทรงรับราชการเป็นหลักแผ่นดินในตอนต้นรัชกาลที่ 5 ครั้นเมื่อมีงานรัชฎาภิเษกในรัชกาลที่ 5 ณ พระราชวังบางปะอิน เมื่อปี 2436 โปรดให้มีการแต่งกลอนจารึก แต่งประทีป เฉลิมพระเกียรติพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย และบุคคลสำคัญ ในงานนั้นมีคำกลอนจารึกแต่งประทีปเฉลิมพระเกียรติสมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ของเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี เมื่อยังเป็นพระมนตรีพจนกิจ ดังนี้

"ทำโคมนี้มาไว้ ประจงใจจะเฉลิม

พระเกียรติท่านเพิ่มเติม ให้มากกว่าแต่ก่อนมา

จะได้คนอย่างท่าน ก็กันดารเหลือจะหา

ความดีเหลือพรรณนา จะว่าย่อพอให้คน

ได้ทราบทั่วกันว่า นามเจ้าฟ้า ธ กุณฑล

ท่านได้ร่วมสุขปน ในรัชกาลที่สองมา

อยู่นานกาลล่วงไป ท่านก็ได้โอรสา

สนองราชกิจจา นุกิจเลิศประเสริฐแสนฯ"

สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดีสิ้นพระชนม์ในรัชกาลที่ 3 เมื่อวันเสาร์ เดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ ปีจอ ปี 2381 พระชันษาได้ 42 ปี

ในพระราชพงศาวดารรัชกาลที่ 3 ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) แต่งมีข้อความว่า

"ในเดือน 4 ปีจอนั้น สมเด็จเจ้าฟ้ากุณฑลทิพยวดี ทรงพระประชวรพระโรคโบราณมานานแล้ว ครั้น ณ วันเสาร์ เดือน 4 ขึ้น 3 ค่ำ สิ้นพระชนม์ พระชนมายุได้ 40 พรรษา 8 เดือน 18 วัน โปรดให้ทำการพระเมรุที่ท้องสนามหลวง เจ้าพนักงานได้จัดการทำพระเมรุอยู่"

ในพระราชพงศาวดารฉบับดังกล่าวอีกตอนหนึ่งมีว่า

"ฝ่ายที่กรุงการพระเมรุเสร็จแล้ว ครั้น ณ วัน เดือน 5 แรม 4 ค่ำ ได้ชักพระศพสมเด็จเจ้าฟ้า กุณฑลทิพยวดีกับพระศพพระองค์เจ้า (ผู้เป็นธิดา) ออกสู่พระเมรุ เชิญพระศพประดิษฐานบนพระเบญจา มีการมหรสพทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายไทยธรรมแก่พระสงฆ์ พระราชาคณะ ฐานานุกรมเป็นอันมาก ครั้น ณ วัน เดือน 5 แรม 6 ค่ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) ได้พระราชทานเพลิงแล้วสมโภชพระอัฐิอีก วัน 1 คืน 1 เป็นคำรบ 4 วัน 4 คืน"

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด บีจี ปทุม พบ เมืองทอง ฟุตบอลไทยลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68