เหตุล่มสลายของจักรวรรดิโรมัน (ตอนแรก)
สัปดาห์นี้ผู้เขียนขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความเสื่อมและการล่มสลายลงของ “จักรวรรดิโรมัน” อันยิ่งใหญ่ในอดีต มาเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับทราบไว้เป็นอาหารสมองและเป็นข้อคิดถึงวงจรของอำนาจและความยิ่งใหญ่จนกระทั่งนำไปสู่จุดเสื่อมและสุดท้ายก็ต้องล่มสลายไปตามวัฏจักร
สัปดาห์นี้ผู้เขียนขอนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับความเสื่อมและการล่มสลายลงของ “จักรวรรดิโรมัน” อันยิ่งใหญ่ในอดีต มาเล่าให้คุณผู้อ่านได้รับทราบไว้เป็นอาหารสมองและเป็นข้อคิดถึงวงจรของอำนาจและความยิ่งใหญ่จนกระทั่งนำไปสู่จุดเสื่อมและสุดท้ายก็ต้องล่มสลายไปตามวัฏจักร
คำว่า “ยุคสมัยโรมัน” แบ่งออกตามยุคสมัยในประวัติศาสตร์ได้ดังต่อไปนี้ 1) อาณาจักรโรมัน (Roman Kingdom) ช่วงระหว่างปี 753509 ก่อนคริสตกาล 2) สาธารณรัฐโรมัน (Roman Republic) ช่วงระหว่างปี 50927 ก่อนคริสตกาล และ 3) จักรวรรดิโรมัน (Roman Empire) ที่ถือว่าเป็นยุครุ่งเรืองและเจริญก้าวหน้ามากที่สุดของความเป็นโรมันอยู่ในช่วงระหว่างปี 27 ก่อนคริสตกาลจนถึงปีคริสต์ศักราชที่ 476 ซึ่งถือเป็นปีสิ้นสุดของความเป็นจักรวรรดิลงอย่างสมบูรณ์แบบ
ทำไมยุคของโรมันแต่ละยุคจึงมีคุณค่าต่อการศึกษา เหตุผลหลักๆ ก็คือ ความเป็นโรมันในแต่ละยุคมีระบบการบริหารและการปกครองบ้านเมืองที่มีคุณลักษณะโดดเด่นและมีวิวัฒนาการด้านรูปแบบการปกครองที่สืบทอดมาจนถึงสังคมโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะการปรากฏเป็นหลักฐานไว้จากบันทึกของนักประวัติศาสตร์ระดับโลกว่า การปกครองแบบมีรัฐบาล มีกษัตริย์ และมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนเพื่อใช้ในการบริหารประเทศ มีมาตั้งแต่เริ่มความเป็นอาณาจักรโรมัน หรือถ้านับจนถึงปีปัจจุบันก็มีมากว่า 2,700 ปีมาแล้ว
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ทำไมจักรวรรดิโรมันอันเกรียงไกรถึงล่มสลายได้ในที่สุด จากบันทึกของนักประวัติศาสตร์โลกหลายท่าน พอจะประมวลได้ว่าเหตุของการล่มสลายมีมากมายหลายสาเหตุดังต่อไปนี้
1) การแบ่งจักรวรรดิโรมันออกเป็น 2 ฝ่าย คือ จักรวรรดิฝ่ายตะวันตกฝ่ายหนึ่ง และจักวรรดิฝ่ายตะวันออกอีกฝ่ายหนึ่ง ทำให้ขาดความเป็นเอกภาพด้านการปกครองของจักรวรรดิโรมันจนต้องล่มสลายในที่สุด
2) ในยุคจักรวรรดิโรมันมีชนเผ่าที่ชาวโรมันเรียกว่า “ชนเผ่าบาร์บาเรียนหรือพวกป่าเถื่อน” ที่มีคุณลักษณะของความเหี้ยมโหดและมีจิตวิญญาณของความเป็นนักฆ่าและนักรบอันเข้มแข็งและอดทน แทรกซึมเข้ามาสร้างอิทธิพลในจักรวรรดิโรมันจนทำให้กองทัพของจักรวรรดิถึงกับต้องเพิ่มปริมาณทหารประจำอยู่ตามพรมแดน โดยในช่วงท้ายของคริสตวรรษที่ 4 ทหารของจักรวรรดิโรมันมีจำนวนมากถึง 6 แสนนาย และในจำนวนดังกล่าวถูกส่งไปรักษาการณ์ตามพรมแดนทางตอนเหนือของกรุงโรมมากถึง 2.5 แสนนาย
3) การเพิ่มปริมาณทหารของจักรวรรดิต้องอาศัยเงินตราจำนวนมากและเงินตราดังกล่าวก็มีที่มาจากการเก็บภาษี ทำให้คณะผู้ปกครองจักรวรรดิต้องทำการขึ้นภาษีในอัตราที่สูงจนประชาชนธรรมดาไม่สามารถที่จะจ่ายได้และก่อให้เกิดความยากจนข้นแค้นไปทั่วทุกหัวระแหง พลเมืองชาวโรมันสมัยนั้นถึงกับต้องขายลูกหลานไปเป็นทาสเพื่อหาเงินมาจ่ายภาษี รวมทั้งอดอยากและเสียชีวิตไปเป็นจำนวนมาก
สัปดาห์หน้าผมจะอธิบายสาเหตุการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันในประเด็นอื่นต่อครับ


