ภาชน์เวร
ประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผมพักร้อนมาต่างจังหวัด แต่ก็ดูจะไม่ได้พักร้อน เพราะที่บ้านมีทั้งงานแต่ง
ประมาณหนึ่งอาทิตย์ที่ผมพักร้อนมาต่างจังหวัด แต่ก็ดูจะไม่ได้พักร้อน เพราะที่บ้านมีทั้งงานแต่ง งานทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ (อีสานเรียกทำบุญแจกข้าว) งานศพ งานบวช ซึ่งช่วงนี้และฤดูกาลต่อจากนี้ถึงสงกรานต์ เป็นฤดูกาลงานบุญชาวบ้านต้องเตรียมเงินทำบุญกันก้นขวิด
การมาบ้านเกิดครานี้ จึงไม่รู้สึกว่าพักร้อน เพราะต้องไปช่วยงานตลอดทุกงาน ซึ่งล้วนเป็นงานญาติทั้งนั้น ช่วยทั้งเงิน ช่วยทั้งแรง คือ ไปเป็นโฆษกในงานเท่าที่จะให้ความรู้ได้
ที่อยากเล่า คือ งานศพในหมู่บ้านที่ผมไปร่วมครั้งนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น กล่าวคือ แต่ไหนแต่ไรจะมี “ภาชน์เวร” จัดให้ศพ แต่ศพนี้ไม่เห็น ผมจึงถามว่า วัฒนธรรมความเชื่อนี้หายไปแล้วหรือ คำตอบก็คือ บางศพก็มี บางศพก็ไม่มี ...เป็นงั้นไป
เกี่ยวกับ “ภาชน์เวร” ผมขออธิบายคร่าวๆ ว่า เมื่อมีการถวายภัตตาหารพระสงฆ์เสร็จ บางคนก็กลัวว่าญาติที่ตายไปจะไม่ได้กิน ก็จะจัดสำรับกับข้าวไว้ชุดหนึ่งเรียกว่า “ภาชน์เวร” หรือ “พาเวร”
ซึ่งจะมีคำกล่าวด้วย คล้ายๆ คำถวายภัตตาหารพระ เจ้าภาพมักจะเป็นคนว่าคำกล่าวนี้เอง แต่ถ้าว่าไม่ได้ มัคนายกจะเป็นคนนำว่าคำ “เวรข้าว” ให้ผู้ตาย
พิธีทำ จะจุดเทียนในภาชน์เวร 1 เล่ม ให้ไปทำที่ข้างประตู ข้างบันได หลังบ้าน หรือที่ใดที่หนึ่งที่ค่อนข้างปลอดคนหรือสุนัขจะทำคว่ำหรือมากิน
การจัดภาชน์เวรของคนอีสานนี้ จุดประสงค์เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้ตาย แสดงออกถึงความรัก ความห่วงใยต่อผู้ตาย ไม่ได้คาดหวังว่าผู้ตายจะได้กินหรือไม่ได้กิน
ผมว่าเป็นวัฒนธรรมความเชื่อที่ดีครับ ผู้ตายจะได้กินอาหารที่จัดให้หรือไม่รู้ แต่ที่คนอีสานทำเพราะกลัวญาติจะไม่ได้กิน ซึ่งเป็นความรู้สึกล้วนๆ ซึ่งหากย้อนไปในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น คือ มีคนจัดหาของกินของใช้ไปให้คนที่ตายแล้ว
เรื่องมีว่า เด็กหนุ่มคนหนึ่งมัฏฐกุณฑลีเกิดในตระกูลมั่งมี แต่ชีวิตก็หาได้สุขสบายไม่ เพราะพ่อเป็นคนตระหนี่ แบบว่าไม่เคยให้อะไรใครง่ายๆ แม้แต่กับลูกตัวเอง วันหนึ่งมัฏฐกุณฑลีป่วย แต่พ่อก็ไม่ใส่ใจ เพราะกลัวจะเสียเงินรักษา ลูกเจ็บหนักยกมือเท้าไม่ไหวพ่อก็เฉย
จนเช้ามืดวันหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกก็ทรงเห็นมัฏฐกุณฑลีอยู่ในข่ายพระญาณของพระองค์ ตอนเช้าจึงเสด็จออกไปทรงบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านมัฏฐกุณฑลี จึงทรงฉายพระรัศมีให้ปรากฏต่อหน้ามัฏฐกุณฑลี
ฝ่ายมัฏฐกุณฑลีเห็นแสงพระรัศมีปรากฏดังนั้น จึงตั้งจิตน้อมรับด้วยเคารพ แต่จะประนมมือก็ทำไม่ได้ เพราะยกไม่ไหว ที่สุดก็สิ้นใจตายแล้วไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ เพราะผลแห่งการทำจิตให้เลื่อมใสในพระพุทธเจ้า
พอมัฏฐกุณฑลีตายพ่อก็คิดมาก ด้วยความคิดถึงก็ซื้อของทุกอย่างไปวางกองไว้ที่ป่าช้า ร้องไห้อ้อนวอนขอให้ลูกมากินมาใช้ ร้อนถึงมัฏฐกุณฑลีเทพบุตรจึงแปลงเพศเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน หน้าตาก็คล้ายมัฏฐกุณฑลีเดินร้องไห้เข้าไปหาเศรษฐี
“พ่อหนุ่มร้องไห้ทำไม” เศรษฐีถาม เทพบุตรก็ตอบว่า ล้อรถของผมหาย ผมอยากได้ล้อรถ
“ฉันจะซื้อล้อรถให้ เพราะเธอมีหน้าตาเหมือนลูกของฉัน” เศรษฐีขี้เหนียวเอ่ยขึ้น แต่เทพบุตรตอบปฏิเสธว่า ผมไม่เอา ผมอยากได้ พระจันทร์ พระอาทิตย์ กลมๆ มาทำล้อรถ
“ฉันว่าเธอคงบ้ากระมัง” พ่อมัฏฐกุณฑลีเน้นเสียงดัง แต่เทพบุตรตอบว่า ผมร้องไห้อยากได้สิ่งที่มองเห็น แต่ลุงร้องไห้หาลูกที่ตายแล้วและมองไม่เห็น ดังนั้น ระหว่างเราทั้งสองใครบ้ากว่ากัน
เศรษฐีได้ฟังดังนั้นก็ได้สติว่า เออ เด็กคนนี้พูดถูก พร้อมถามว่าเจ้าเป็นใคร มาที่นี่ทำไม มัฏฐกุณฑลีเทพบุตรก็เล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังพร้อมสอนเศรษฐีหลายอย่าง
“ของที่ท่านซื้อมากองในป่าช้าด้วยตั้งใจว่าจะให้ถึงลูกนั้น ลูกไม่ได้รับหรอกและไม่มีวันได้รับ เพราะเขาตายไปแล้ว ถ้ามาเกิดเป็นคนก็มีอาหารคนกิน ถ้าเกิดเป็นเดรัจฉานก็มีอาหารของเดรัจฉาน ถ้าเกิดเป็นเทวดาก็จะมีสุธาทิพย์เป็นอาหาร เป็นเปรตก็จะผลแห่งกรรมชั่วเป็นอาหาร
ท่านจงถวายทานในพระพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนามีพระสงฆ์ผู้ทรงศีลเป็นผู้รับ บุญที่ท่านทำย่อมได้รับผลเหมือนหว่านพืชในที่ดินสมบูรณ์ด้วยน้ำ ปุ๋ย อากาศ และปราศจากศัตรูพืช ย่อมได้ผลดี ท่านเอาของกินของใช้ไปวางไว้ป่าช้าจะไม่ได้ประโยชน์อะไร”
กระนั้น ภาชน์เวรก็เป็นวัฒนธรรมความเชื่อหนึ่งของคนอีสาน ที่ผมเองก็เห็นควรที่จะอนุรักษ์ไว้ให้อนุชนได้เห็น


