กู้2ล้านล้านขัดรธน.เปิดช่องล้มรัฐบาลทั้งยวง
กระบวนการดังกล่าวนี้รัฐบาลคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ทั้งสภาบน สภาล่าง มีเสียงทักท้วงตลอด
โดย...ทีมข่าวการเมือง
เป็นไปตามคาดกับมติศาลรัฐธรรมนูญที่ชี้ขาดให้ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งของประเทศวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ขัดรัฐธรรมนูญทั้งในแง่ เนื้อหาและกระบวนการออกกฎหมาย ส่งผลให้กฎหมายร้อนฉบับนี้มีอันต้องตกไปทั้งที่สู้อุตส่าห์ผลักดันมาจนถึงขั้นตอนสุดท้าย ได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาในวาระ 3 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์
สำหรับ “กระบวนการออกกฎหมาย” การออกเสียงลงคะแนนแทน สส.รายอื่นในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ ในวันที่ 20 ก.ย. 2556 ของ นริศร ทองธิราช สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีคลิปภาพชัดเจน ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 สส. สว. ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ปราศจากการขัดกันแห่งผลประโยชน์ และมาตรา 126 บัญญัติว่า สมาชิกคนหนึ่งย่อมมีเสียงหนึ่งในการออกเสียงลงคะแนน ทำให้การตรากฎหมายฉบับนี้ไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ
ถัดมาที่ประเด็น “เนื้อหา” ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขัดรัฐธรรมนูญหมวด 8 ว่าด้วยการเงิน การคลัง และงบประมาณ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 169 บัญญัติให้การจ่าย “เงินแผ่นดิน” จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวกับการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เว้นแต่ในกรณี “จำเป็นเร่งด่วน” แต่ตามข้อเท็จจริงปรากฏว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วน
นอกจากจะทำให้ “เมกะโปรเจกต์” โดยเฉพาะรถไฟความเร็วสูงต้องสะดุดหยุดลงไป พร้อมกับความเชื่อมั่นในสายตาชาวต่างชาติที่จะเสียหาย
นี่ยังจะเป็นประเด็นให้ฝ่ายตรงข้ามหยิบยกมาเป็นประเด็นไล่บี้เอาผิดรัฐบาลรักษาการทั้งให้ออกมาแสดงความรับผิดชอบ และเอาผิดผู้ดำเนินการผลักดันออกกฎหมายนี้ เพราะรัฐธรรมนูญมาตรา 246 ระบุว่า ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเป็นเด็ดขาดมีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ
คดีนี้จึงจะเป็นแรงเสียดทานต่อเสถียรภาพของรัฐบาลเพิ่มเติมอีกคดีหนึ่ง ดังจะเห็นว่า “ประชาธิปัตย์” เริ่มต้นเตรียมไล่บี้ให้รัฐบาลแสดงความรับผิดชอบลาออกจากสถานะรักษาการ เพราะนี่ถือเป็นกฎหมายการเงินตามธรรมเนียมปฏิบัติ หากกฎหมายมีปัญหารัฐบาลต้องแสดงความรับผิดชอบ
นอกจากการเรียกร้องให้แสดงความรับผิดชอบแล้ว อีกด้านหนึ่งยังเตรียมใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญมาตรา 271 รวบรวมรายชื่อประชาชนไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคน ถอดถอนนายกฯ และคณะรัฐมนตรีที่เป็นผู้เสนอกฎหมายฉบับนี้ยื่นต่อประธานวุฒิสภาให้ส่งคำร้องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อไต่สวนต่อไป และหาก ป.ป.ช.ชี้มูลว่าผิดจริง ผู้ถูกชี้มูลก็จะต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันที
เมื่อความผิดดังกล่าวเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 270 ผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ รัฐมนตรี มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ส่อว่ากระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ส่อว่าจงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย หรือฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง วุฒิสภามีอำนาจถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งได้
กระบวนการดังกล่าวนี้รัฐบาลคงจะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะระหว่างขั้นตอนการพิจารณา ทั้งสภาบน สภาล่าง มีเสียงทักท้วงจากประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านเวลานั้นไปจนถึง สว.บางส่วน ที่เตือนว่าเนื้อหาในร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวสุ่มเสี่ยงขัดรัฐธรรมนูญ แต่รัฐบาลยังดึงดันจะเดินหน้าผลักดันต่อไป
ยิ่งกว่านั้นยังมีปัญหาในส่วนของงบกลาง 240 ล้านบาท ที่นำมาใช้ในการเดินสายโฆษณาประชาสัมพันธ์โครงการรถไฟความเร็วสูง ทั้งที่กฎหมายยังไม่ได้ผ่านและอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ สุดท้ายเมื่อร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ต้องตกไปตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญงบประชาสัมพันธ์ 240 ล้านบาท จึงสูญเปล่าลงไป
ทว่าท่าทีจากฝั่งรัฐบาลยังพยายามชี้แจงว่าไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ และโยนให้เป็นเรื่องของสภาที่พิจารณาให้ความเห็นชอบ ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา โดย วราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ที่ออกตัวว่าเคารพคำวินิจฉัยของศาลที่มีผลผูกพันและกฎหมายนี้ก็มีอันต้องพ้นไป แต่รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เพราะ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาแล้ว มีกระบวนการตรวจสอบแล้วตั้งแต่วาระที่ 1 2 และ 3 รวมทั้งกระบวนการตรวจสอบของวุฒิสภา
“หากไม่ผ่านสภา โดยเฉพาะร่าง พ.ร.บ.การเงินนั้น รัฐบาลต้องรับผิดชอบแน่นอน แต่วันนี้เรื่องมาถึงศาลเมื่อมีความเห็นที่แตกต่างถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ก่อนที่รัฐบาลจะดำเนินการในเรื่องนี้ก็ได้ให้กฤษฎีกาตรวจสอบก่อนแล้วเห็นว่า พ.ร.ก.ไทยเข้มแข็งทำได้ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ก็น่าจะทำได้ เพราะจากตอนนั้นถึงตอนนี้รัฐธรรมนูญมาตรา 169 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร”
ความรับผิดชอบจากการที่ พ.ร.บ. 2 ล้านล้านบาทนี้ต้องตกไป จึงยังเป็นประเด็นที่จะต้องไปติดตามหาความจริงผ่านองค์กรอิสระต่างๆ ที่หลายฝ่ายเตรียมจะไปยื่นเรื่องให้เอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนผลจะออกมาอย่างไรคงจะต้องไปพิสูจน์กันในรายละเอียด
แต่ทว่าอีกประเด็นสำคัญคือ คดีนี้ต่างจากคดีอื่นๆ ตรงที่การไล่บี้เอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ได้เจาะจงไปที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องบางแต่ตำแหน่ง แต่คดีนี้ประชาธิปัตย์เล็งที่จะเอาผิดคณะรัฐมนตรีทั้งคณะในฐานะผู้เสนอกฎหมายที่จะต้องร่วมรับผิดชอบทั้งหมด
นั่นหมายความว่า หากในกรณีมีการวินิจฉัยให้คณะรัฐมนตรีมีความผิดหรือสิ้นสภาพความเป็นรัฐมนตรีทั้งหมดย่อมนำไปสู่สภาวะสุญญากาศไม่มีคณะรัฐมนตรีรักษาการ ต่างจากคดีอื่นๆ ที่หากผลชี้ขาดให้นายกฯ ต้องพ้นตำแหน่ง ก็ยังสามารถเปิดช่องให้รองนายกฯ ขึ้นมาทำหน้าที่รักษาการต่อไปได้
นี่จึงเป็นแรงเสียดทานเพิ่มเติมสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แม้ว่ากระบวนการพิจารณาเอาผิดจะต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึงขั้นตอนการชี้ขาด


