‘พฤศจิกายน’ ประกาศก้อง ‘ผู้หญิงเด็ก’ ไม่ใช่ที่ระบายอารมณ์ 
ขณะที่แฟนละครส่วนใหญ่กำลังติดขอบจอรอชมเรื่องราวชีวิตของ “ลำยอง” สาวสวยที่เข้าตำราสวยแต่รูปจูบไม่หอม แบบติดหนึบ บางคนอินสุดๆ
โดย...พุสดี สิริวัชระเมตตา / ภาพ คลังภาพโพสต์ทูเดย์ และนิตยสารแมรี แคลร์
ขณะที่แฟนละครส่วนใหญ่กำลังติดขอบจอรอชมเรื่องราวชีวิตของ “ลำยอง” สาวสวยที่เข้าตำราสวยแต่รูปจูบไม่หอม แบบติดหนึบ บางคนอินสุดๆ ถึงขั้นต้องระบายความรู้สึกที่มีต่อลำยอง และ “วันเฉลิม” ผ่านคีย์บอร์ด เพื่อแสดงความคิดความเห็น บ้างก็เลือกแชร์ความรู้สึกด้านลบต่อลำยองผ่านโซเชียลมีเดีย
จะดีกว่ามั้ย ถ้าแฟนละครเลือกใช้โอกาสนี้พร้อมใจกันเป็นปากเป็นเสียง เพื่อสร้างพลังในการยุติความรุนแรงในครอบครัว ทั้งต่อผู้หญิงและเด็ก เนื่องจากเดือน พ.ย.ของทุกปี คณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็น “เดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี” ตั้งแต่ปี 2542 ขณะที่องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ประกาศให้วันที่ 25 พ.ย.ของทุกปีเป็น “วันขจัดความรุนแรงต่อสตรีสากล”
คนใกล้ตัวสุดท้ายร้ายที่สุด
จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (ดับเบิลยูเอชโอ) ซึ่งมีการศึกษาอย่างเป็นระบบครั้งแรก พบว่าผู้หญิงกว่า 1 ใน 3 ทั่วโลก ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงภายในครอบครัว โดยพบมากสุดในเอเชียและตะวันออกกลาง และพบด้วยว่า 30% เป็นฝีมือคนรักคู่ครอง
โรเบอร์ตา คลาร์ก ผู้อำนวยการยูเอ็นวีเมนประจำภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิก กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงส่วนใหญ่อยู่ในครัวเรือน เนื่องจากสามีมักเห็นภรรยาเป็นสมบัติในครอบครอง บางครั้งก็ใช้ความรุนแรงเพื่อแสดงอำนาจที่เหนือกว่า ขณะเดียวกันผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อมักเลือกที่จะไม่แจ้งว่ามีความรุนแรงเกิดขึ้นในครอบครัว เพราะมีความผูกพันกับผู้ที่กระทำความรุนแรง ซึ่งเป็นทั้งสามีและพ่อของลูก จึงไม่อยากให้มีความขัดแย้งในครอบครัว
“อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้หญิงเลือกจะปิดปาก เพราะอับอายที่ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรง ไม่อยากได้รับความกดดันจากคนรอบข้าง และคนในชุมชน บางรายกลัวว่าจะถูกกลั่นแกล้ง คุกคามจากฝ่ายชาย ระหว่างที่คดีความอยู่ระหว่างการดำเนินการ ขณะที่เจ้าพนักงานบางส่วนยังมีความเชื่อกับค่านิยมเดิมๆ ว่า ถ้ามีการทำร้ายร่างกาย ผู้ต้องหาจะได้รับโทษในข้อหาทำร้ายร่างกายในเหตุวิวาททั่วไป ทั้งที่จริงๆ แล้วมีข้อกฎหมายกำหนดโทษชัดเจนในการกระทำความรุนแรงในครอบครัว”
เป็นที่น่ายินดีว่าประเทศไทยไม่ได้นิ่งเฉยต่อการกระทำความรุนแรงในครอบครัว เพราะได้เข้าร่วมในอนุสัญญาผู้หญิงของยูเอ็นตั้งแต่ปี 2528 เพื่อเป็นคำมั่นว่ารัฐบาลไทยจะคุ้มครองปกป้องสตรี กำจัดการกีดกัน และความไม่เท่าเทียม ทั้งนี้การก่อความรุนแรงต่อสตรีนั้น ไม่ใช่เรื่องบุคคล แต่เป็นเรื่องใหญ่ของสังคม ดังนั้นจะเห็นว่ารัฐบาลไทยได้มีการบรรจุประเด็นการกระทำความรุนแรงต่อสตรีเข้าไว้ในประมวลกฎหมายอาญา เพื่อให้เกิดการบังคับใช้กรณีมีคดีความ นอกจากนี้ยังมีการตั้งศาลเฉพาะด้านเพื่อพิจารณาคดีในลักษณะนี้ พร้อมกันนี้ยังมีการพัฒนาแผนปฏิบัติการระดับชาติ เพื่อป้องกันผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง เช่น การจัดตั้งบ้านพักฉุกเฉิน การให้คำปรึกษา เป็นต้น
แม่เจ็บ ลูกก็เจ็บ
สอดคล้องกับ อรรถพล ใหญ่สว่าง อัยการสูงสุด เห็นว่าการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงนั้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นสามี ซึ่งผลพวงจากการกระทำรุนแรง ยังส่งผลไปถึงเด็กที่เห็นภาพรุนแรงเหล่านี้ จนนำไปสู่พฤติกรรมก้าวร้าว หรือความเคยชินในที่สุด ตั้งแต่ปี 2550 ประเทศไทยมี พ.ร.บ.การกระทำความรุนแรงในครอบครัว เพื่อเอาผิดผู้ที่กระทำความรุนแรง ขณะเดียวกันก็พยายามให้ความรู้เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายด้วยว่า ไม่ให้เพิกเฉยต่อเหยื่อความรุนแรง และอย่าเห็นว่าเป็นเรื่องสามีภรรยา จึงไม่อยากรับแจ้งความ เพราะกลัวว่าเมื่อปรับความเข้าใจกันดี ก็จะกลับมาถอนคดีความ
“เครื่องมือสำคัญที่จะช่วยยุติความรุนแรง คือ สังคมต้องไม่เพิกเฉย เมื่อพบเห็นการใช้ความรุนแรง อาจไม่ต้องเข้าไประงับเหตุโดยตรง เนื่องจากอาจเป็นอันตราย แต่ต้องแจ้งเบาะแส ที่ผ่านมาสถิติการใช้ความรุนแรงในสตรีของบ้านเราไม่สูงมาก ส่วนหนึ่งเพราะคดีเหล่านี้ เมื่อกลายเป็นการทำร้ายร่างกาย จะถูกบรรจุในหมวดคดีอาญา ไม่ได้มีการเก็บสถิติแยกไว้ชัดเจน แต่ตัวเลขสถิติที่น้อยลง ส่วนหนึ่งก็สะท้อนได้ว่าคนไทยไม่ได้เพิกเฉยต่อเรื่องนี้ จะเห็นได้จากที่มีการปรากฏในข่าวว่า มีพลเมืองดีช่วยแจ้งเบาะแส หรือเข้าไปช่วยเหลือ”
ด้าน พญ.ปราณี เมืองน้อย จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (รพ.เด็ก) กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่าความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นของพ่อแม่ ทำให้เด็กไม่มีตัวอย่างดีๆ ในการสร้างสัมพันธ์กับผู้อื่น ยกตัวอย่างตัวละครวันเฉลิม ถ้าไม่มีหลวงตาที่คอยสอน ไม่มีปู่ย่าหรือพ่อที่ดี ไม่มีแม่เลี้ยงพี่เลี้ยงหรือคุณยายข้างบ้านที่มีจิตเมตตา อาจทำให้เข้ากับผู้อื่นไม่ได้ หรือกลายเป็นคนที่เคร่งเครียด ซึมเศร้า หรืออาจมีพฤติกรรมเกเร ทำสิ่งผิดกฎหมายเหมือนน้าชายทั้งสองคน ทั้งนี้เด็กๆ หลายคนอาจไม่โชคดีเหมือนวันเฉลิม ครอบครัวจึงควรสร้าง “บ้านปลอดความรุนแรง” โดยเริ่มจากการสื่อสารที่ดี สร้างความไว้วางใจกันและกัน ฝึกการจัดการข้อขัดแย้ง โดยหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรง นอกจากนี้ยังควรฝึกทักษะการฟังที่ดี โดยไม่ตัดสินถูกผิด เนื่องจากการฟังที่ดีจะทำให้ผู้เล่ารู้สึกไว้วางใจ และยอมเปิดเผยความรู้สึกต่อสิ่งที่เขากำลังเผชิญ
ประสานเสียงยุติความรุนแรง
เนื่องด้วยตระหนักถึงปัญหาการใช้ความรุนแรงในสตรีนี้เอง นิตยสารแมรี แคลร์ ซึ่งเป็นสื่อกลางในการตีแผ่และรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรีมาอย่างต่อเนื่อง จึงถือโอกาสช่วงเดือนพิเศษนี้ ชวน 3 บริษัทโฆษณาชั้นนำของประเทศไทยอย่าง BBDO, Monday, Ogilvy & Mather และชูใจกะกัลยาณมิตร สร้างสรรค์สื่อโฆษณาเพื่อเป็นสื่อกลางรณรงค์แคมเปญนี้ ก่อนจะมอบให้มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลใช้เป็นสื่อรณรงค์ พร้อมเชิญชวนให้สาวกโซเชียลมีเดียนำสื่อประชาสัมพันธ์นี้ไปเผยแพร่ต่อ
ปิลันธน์ ศรีวีระกุล บรรณาธิการนิตยสารแมรี แคลร์ กล่าวว่า อยากเป็นอีกหนึ่งเสียงที่บอกกับสังคมว่า ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน แต่บางครั้งผู้หญิงก็มองข้าม
“บางคนถูกล่วงละเมิดทางวาจาและทางกายในที่ทำงาน แต่ก็ไม่มีใครร้องเรียน แถมกฎหมายก็มีบทลงโทษไม่เด็ดขาด อย่างไรก็ตาม ทางทีมงานก็หวังว่าแคมเปญนี้จะไม่จากไปพร้อมกับเดือน พ.ย. เพราะอย่างน้อยถ้าผู้ที่เห็นสื่อโฆษณาแล้วช่วยกันกระจายต่อ เมื่อหนึ่งเสียงถูกส่งไปยังคนในวงกว้าง การรับรู้และสานต่อก็จะเกิดขึ้น”
ขณะที่ สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ ประธานและประธานกรรมการบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บีบีดีโอ กล่าวว่า สถานการณ์ความรุนแรงของไทยยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ในช่วงหลายๆ ปีมานี้ จะมีการรณรงค์เพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่เป็นการรณรงค์และให้ข้อมูลแล้วก็จบไปเป็นครั้งคราว
“สังคมรับรู้เรื่องความรุนแรง แต่ก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมาก ถึงแม้จะมีกฎหมายออกมาเพื่อควบคุมและรองรับจุดนี้เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความรุนแรงลดลง เนื่องจากผู้กระทำมีปัจจัยหลายๆ อย่างส่งเสริมให้กระทำความรุนแรง เช่น สภาพเศรษฐกิจ ความเครียด สุรา หรือยาเสพติด ดังนั้นเมื่อผู้กระทำไม่ลด ละ เลิก การจะทำการรณรงค์ก็ต้องกลับมาทบทวนว่าควรที่จะปรับมุมการสื่อสารไปที่ฝ่ายผู้ถูกกระทำให้ลุกขึ้นสู้ และไม่ต้องปกปิดอีกต่อไป”


