หลวงปู่ดีเนาะ พระเทพวิสุทธาจารย์สาธุอุทานธรรมวาที พระผู้มีวาจาไพเราะเป็นที่สุด
เขาว่ากันว่า วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ คนที่มีแนวคิดหรือวิธีคิดดีล้วนมีชัยไปกว่าครึ่ง เรื่องราวและปัญหาต่างๆ ของคนบนโลกใบนี้ก็ล้วนเกิดมาจากความคิดที่แตกต่างกันทั้งสิ้น
เขาว่ากันว่า วิธีคิดสำคัญกว่าวิธีการ คนที่มีแนวคิดหรือวิธีคิดดีล้วนมีชัยไปกว่าครึ่ง เรื่องราวและปัญหาต่างๆ ของคนบนโลกใบนี้ก็ล้วนเกิดมาจากความคิดที่แตกต่างกันทั้งสิ้น
ถ้ามีความคิดที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ก็ทำให้โลกของเรามีความสุขเพราะต่างคนต่างคิดแต่จะให้ ให้ในที่นี้ คือ ให้ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ไม่มีความคิดที่จะเอารัดเอาเปรียบแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน
หากเราย้อนเวลาไปในช่วงยุคสงครามเวียดนาม ในช่วงนั้นทหารต่างชาติยกพลขึ้นประเทศไทย ตั้งฐานทัพไว้ในที่ต่างๆ ทั้งภาคกลางและภาคอีสาน ในช่วงนั้น จ.อุดรธานี ก็ถูกใช้เป็นฐานปฏิบัติการเฉกเช่นกัน
ครั้งหนึ่ง เมื่อมีการสับเปลี่ยนกำลังให้ทหารในสมรภูมิ มาพักผ่อนที่ฐานใน จ.อุดรธานี มีนายทหารต่างชาติคนหนึ่งพร้อมเพื่อนอีก 2-3 คนออกหารถพร้อมถามคนขับซึ่งเป็นชาวบ้านใน จ.อุดรธานี ว่า “Do you know Neo monkof udon” หรือถ้าแปลเป็นภาษาไทยว่า คุณรู้จักพระเนาะในอุดรรึป่าว
พระเนาะที่ทหารต่างชาติคนนั้นไปหาคือใคร?
แล้วทำไมถึงชื่อเนาะ?
ท่านเป็นใคร มาจากไหน?
หากกล่าวนาม “พระเทพวิสุทธาจารย์สาธุอุทานธรรมวาที” หรือหลวงปู่บุ ก็คงไม่มีใครที่รู้จัก ยิ่งพระราชาคณะที่มีสร้อยท้าย สมณศักดิ์ แล้ว ยิ่งมีน้อยเต็มที ที่คนทั่วไปจะรู้จัก หากกล่าวถึงอีกชื่อที่ชาวบ้านเรียกท่านคือ หลวงปู่ดีเนาะ หรือ หลวงปู่ดีเนาะหลวง แห่งวัดมัชฌิมาวาส จ.อุดรธานี ชาวบ้านใน จ.อุดรธานี ก็คง อ๋อ
ชีวประวัติของท่านพระเทพวิสุทธาจารย์ หรือหลวงปู่ดีเนาะ นั้น ไม่ค่อยจะมีปรากฏให้เห็นมากนัก เพราะเนื่องจากว่า ท่านจะไม่ค่อยทิ้งหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของท่านเอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ทราบ จะมีบ้างก็เพียงเล็กๆ น้อยๆ ที่ได้รับการรวบรวมจาก ท่านพระธรรมปริยัติโมลี เจ้าคณะภาค 8 เจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสรูปปัจจุบันนี้ บันทึกไว้ในหนังสือประวัติของวัดมัชฌิมาวาส
พระเทพวิสุทธาจารย์ หรือหลวงปู่ดีเนาะ นามเดิมว่า บุ ปลัดกอง เกิดที่บ้านดู่ ต.บ้านดอน อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พ.ศ. 2415 บิดาชื่อ นายทา ปลัดกอง มารดาชื่อ นางปาน ปลัดกอง เมื่อมีอายุได้ 19 ปี ครอบครัวของท่านได้อพยพย้ายถิ่นฐานอาศัยจาก จ.นครราชสีมา มาอยู่ที่บ้านทุ่งแร่ ต.หมูม่น อ.เมือง จ.อุดรธานี ในปัจจุบันนี้
เมื่ออายุได้ 22 ปี ได้บวชเป็นสามเณรที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้านทุ่งแร่ นั่นเอง และต่อมาอีกหนึ่งปี ท่านก็ได้รับการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดบ้านบ่อน้อย ต.เชียงยืน อ.เมือง จ.อุดรธานี มีพระอธิการกัน วัดสระบัว บ้านสร้างแป้น เป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับฉายาว่า “ปุญญสิริ” เมื่ออุปสมบทเป็น พระภิกษุแล้วนั้น ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านโนนสว่าง บ้านทุ่งแร่ อยู่ 3 พรรษา จึงได้ย้ายสำนักไปจำพรรษาอยู่ที่วัดมัชฌิมาวาส เมื่อ พ.ศ. 2440
ขณะนั้นที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาสนั้น ท่านได้ทำการบูรณะวัดมัชฌิมาวาสในด้านต่างๆ ให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุและเสนาสนะ เช่น พระอุโบสถ ศาลาการเปรียญ โรงเรียนพระปริยัติธรรม และกุฏิของพระลูกวัดจำนวนมากที่เห็นในปัจจุบันนี้นั้น ล้วนแต่ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นในสมัยที่ท่านหลวงปู่ดีเนาะทั้งสิ้น
นอกจากในด้านถาวรวัตถุของวัดแล้ว ท่านหลวงปู่ดีเนาะ ท่านก็ยังหันมาพัฒนาในด้านของการศึกษาของพระภิกษุสามเณรที่อยู่ในวัดแห่งนี้ โดยการจัดตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมขึ้นมา สอนนักธรรมบาลีตามหลักสูตรของราชการคณะสงฆ์ ตั้งแต่ชั้นนักธรรมตรี จนถึงชั้น ป.ธ.6
ในด้านการภาวนานั้น ตอนนั้นเอง กองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นได้แพร่กระจายกันอยู่โดยทั่วไปในภาคเหนือและอีสาน ส่วนท่านเองนั้นก็มีอายุพรรษาใกล้เคียงกับท่านพระอาจารย์มั่น จึงได้ไปมาหาสู่กัน
จากคำบอกเล่าของคนเก่าแก่ใน จ.อุดรธานี เล่าว่า ทุกครั้งที่หลวงปู่มั่นมาพักในเมืองอุดรธานี ท่านก็จะแวะเวียนไปมาหาสู่กับหลวงปู่ดีเนาะ
ในครั้งที่หลวงปู่มั่นอยู่ที่ป่าช้า บ้านโคกนามน หลวงปู่ดีเนาะก็ได้เข้าไปกราบและรับโอวาทธรรมจากท่านอยู่สม่ำเสมอ ทั้งตัวท่านเองนั้นก็เป็นเจ้าคณะจังหวัดอุดรธานี ในส่วนมหานิกาย ยิ่งทำให้ท่านมีความสนิทสนมอย่างยิ่ง กับพระธรรมเจดีย์ จูม วัดโพธิสมภรณ์ บางครั้งบางคราว ท่านเจ้าคุณจูม ก็จะพาลูกศิษย์ลูกหาไปกราบท่านอยู่เป็นประจำ
ขณะเดียวกันท่านก็เป็นที่พึ่งแก่ชาวบ้านทั่วไป ไม่ถือยศตำแหน่ง พระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ อดีตสมภารวัดป่าชิคาโก แสดงธรรม เรื่องหนึ่งว่า หลวงพ่อวัดหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อลือชากันว่า ท่านเป็นพระที่มีแต่ความสุข ไม่เคยมีความทุกข์
วันหนึ่ง โยมมานิมนต์ท่านไปเทศน์ที่บ้าน บอกท่านว่าจะมารับแต่เช้าหลวงพ่อก็นั่งรอจนสายโยมก็ไม่มาสักทีหลวงพ่อก็ว่า “ไม่มา ก็ดีเหมือนกันเนาะเราฉันข้าวของเราดีกว่า” ฉันข้าวได้ไม่กี่คำ โยมก็มารับพอดี กราบกรานขอโทษที่มาช้า เหตุเพราะว่ารถเสีย
หลวงพ่อก็วางช้อนแล้วกล่าวว่า “อือ ก็ดีเนาะไปฉันที่งานเนาะ”
นั่งรถไปได้สักพัก เครื่องรถก็ดับอีกคนขับบอก “รถเสียครับ” หลวงพ่อก็ว่า “ดีเนาะได้หยุดพักชมวิวเนาะ”
คนขับซ่อมเครื่องรถได้สักพักก็ออกปากขอให้หลวงพ่อช่วยเข็นรถ ความจริงหลวงพ่อก็แก่ ข้าวก็ฉันได้ไม่กี่คำ แต่ท่านก็ยิ้มบอกว่า “โอ้ดีเนาะ ได้ออกกำลังเนาะ” แล้วก็ขมีขมันออกแรงช่วยเข็นรถจนวิ่งได้ ไปถึงบ้านงาน เวลาเลยเที่ยงหมดเวลาฉันอาหารไปแล้วเป็นอันว่า วันนั้นหลวงพ่ออดข้าวเจ้าภาพก็ร้อนใจ อะไรๆ ก็เลยเวลามานาน นิมนต์ท่านขึ้นเทศน์ทันที
“ดีเนาะ มาถึงก็ได้ทำงานเลยเนาะ” หลวงพ่อว่าแล้วก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์จนจบ มีคนชงกาแฟถวายแต่เผลอตักเกลือใส่แทนน้ำตาลหลวงพ่อจิบกาแฟไปหนึ่งคำแล้วก็บอกโยมว่า “โอ้ดีเนาะ ดีๆ” แล้วก็วาง
ธรรมเนียมของหลวงพ่อขลังๆ เวลาท่านฉันอะไร ลูกศิษย์ก็อยากได้บ้าง ว่ากันว่าเป็นสิริมงคลดีนัก เรียงหน้ารอกันเป็นแถว ลูกศิษย์คนแรก ดื่มกาแฟก็พ่นพรวดออกมา “เค็มปี๋เลยหลวงพ่อฉันเข้าไปได้ยังไง!”
ท่านก็ว่า “ก็ดีเนาะฉันกาแฟหวานๆ มานาน ฉันเค็มๆ มั่งก็ดีเหมือนกัน”
ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ลมแรง น้ำท่วม หรือคนด่าหลวงพ่อ ท่านมองไปในแง่ดีได้หมด มีลูกศิษย์ใกล้ชิดคนหนึ่งไปทำผิดถูกจับไปติดคุกท่านก็ว่า “ก็ดีเนาะมันจะได้ศึกษาชีวิต”
ท่านอาจารย์ประสงค์บอกว่าหลวงพ่อรูปนี้ ชื่ออะไรอยู่วัดไหน ตัวท่านเคยจดไว้แต่ทำสมุดที่จดหายจำได้เพียงแต่ว่า คนอีสานเขาสรรเสริญท่านมาก แม้ท่านจะชื่อจริงอะไร ก็คงไม่มีใครจำเพราะต่างก็เรียกท่านว่า “หลวงพ่อดีเนาะ” กันหมดแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งมีคนเล่าว่า เนื่องจากมีผู้เคารพนับถือหลวงพ่อท่านมากจึงมีผู้มาถวายจตุปัจจัยข้าวของเครื่องใช้ที่มีค่าแก่ท่านมากมาย ในกุฏิของหลวงพ่อดีจึงมีข้าวของเงินทองที่เตะตาล่อโจรให้อยากลองของมากมาย แต่ดูเหมือนว่าหลวงพ่อท่านไม่ค่อยจะสนใจวัตถุรอบกายของท่านแต่อย่างใด
อยู่มาวันหนึ่งหลวงพ่อดีก็ถูกขุนโจรใจโหดปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์มากมายถือปืนบุกเข้าประชิดตัวหลวงพ่อบนกุฏิ พร้อมทั้งประกาศก้อง “นี่คือการปล้นอย่าได้ขัดขืนนะหลวงพ่อ” หลวงพ่อดียิ้มกับโจรด้วยอารมณ์ดี และไม่มีอาการสะทกสะท้านท่านกล่าวกับโจรอย่างนิ่มนวลว่า “ปล้นก็ดีเนาะ”
โจรชักแปลกใจในคำพูดและท่าทีของหลวงพ่อ โจรจึงพูดว่า “ถูกปล้นทำไมว่าดีล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อดีตอบว่า “ทำไมจะไม่ดีล่ะ ก็ฉันต้องทนทุกข์ทรมานเฝ้าไอ้สมบัติบ้าๆ นี้ตั้งนานแล้ว เอ็งเอาไปเสียให้หมดฉันจะได้ไม่ต้องเฝ้ามันอีก”
โจรขู่อีก “ไม่ใช่ปล้นอย่างเดียวฉันต้องฆ่าหลวงพ่อด้วยเพื่อปิดปากเจ้าทรัพย์”
หลวงพ่อดีก็ตอบเหมือนเดิม “ฆ่าก็ดีเนาะ” โจรแปลกใจจึงถามว่า “ถูกฆ่ามันจะดีได้อย่างไรล่ะหลวงพ่อ”
หลวงพ่อตอบว่า “ฉันมันแก่แล้วตายเสียได้ก็ดีจะได้ไม่ทุกข์ร้อนอะไร” โจรรู้สึกอ่อนใจเลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ฆ่าหรอก” หลวงพ่อดีก็พูดเหมือนเคย “ไม่ฆ่าก็ดีเนาะ” โจรเลยถามอีก “ทำไมฆ่าก็ดี ไม่ฆ่าก็ดีอีก” หลวงพ่อดีบอกว่า “การฆ่ามันเป็นบาป เอ็งจะต้องชดใช้เวรทั้งชาตินี้และชาติหน้า อย่างน้อยตำรวจเขาจะต้องตามจับเอ็งเข้าคุกเข้าตะราง หรือไม่ก็ถูกฆ่าตาย ตายแล้วก็ยังตกนรกอีก”
โจรฟังแล้วเปลี่ยนใจ “ถ้าอย่างนั้นฉันไม่ปล้นหลวงพ่อแล้ว” หลวงพ่อดีก็ตอบอีกว่า “ไม่ปล้นก็ดีเนาะ”
มีผู้เล่าต่อมาว่าในที่สุดโจรคนนั้นก็สำนึกบาป เข้ามอบตัวกับตำรวจเมื่อพ้นโทษออกมาก็ขอให้หลวงพ่อดีบวชให้และบำเพ็ญศีลภาวนาตลอดมา
สร้อยท้ายสมณศักดิ์ท่าน “สาธุอุทานธรรมวาที” นั้นมีที่มาจาก ครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาส จ.อุดรธานี แล้วเสด็จสู่วัดมัชฌิมาวาส ซึ่งหลวงปู่ดีเนาะเป็นเจ้าอาวาส
ครั้งนั้นญาติโยมกลัวหลวงปู่จะไปหลงพูดคำว่า ดีเนาะ กับพระเจ้าอยู่หัว จึงกำชับหลวงปู่ว่า ไม่ให้หลวงปู่พูดอะไร ให้นั่งเฉยๆ ยิ้มไว้ก็พอ
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระปฏิสันถารกับหลวงปู่ หลวงปู่ก็ไม่ตอบ นั่งนิ่ง และยิ้มเฉย จนพระเจ้าอยู่หัวเกรงว่าหลวงปู่จะไม่เข้าใจคำถาม จึงให้ข้าราชบริพารที่มาด้วยสอบถามหลวงปู่ด้วยภาษาอีสานอีกครั้ง
ประโยคแรกที่หลวงปู่ดีเนาะตอบออกมาคือ “ดีเนาะหลวง ดีเนาะ มหาบพิธ เขาบ่ให่เฮาเว่า (พูด) เขาย่าน (กลัว) ว่าเฮาจะพูดบ่มวน (พูดไม่เพราะ) ดีเนาะหลวง”
ด้วยคำว่า “ดีเนาะหลวง” นี่แหละ คือ ต้นเหตุที่หลวงปู่ได้ฉายาและพระราชทานนามว่า “พระเทพวิสุทธาจารย์สาธุอุทานธรรมวาที” อันหมายมีความว่า พระผู้มีวาจาไพเราะเป็นที่สุด
หลวงปู่ดีเนาะ หรือ พระเทพวิสุทธาจารย์สาธุอุทานธรรมวาที เป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2451จนกระทั่ง พ.ศ. 2513 จึงได้ถึงแก่มรณภาพลง ตรงกับวันที่ 10 มี.ค. 2513 ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 4 ปีระกา เวลา09.10 น. ด้วยโรคชรา รวมอายุท่านหลวงปู่ได้ 98 ปีเป็นเจ้าอาวาสวัดมัชฌิมาวาส เป็นเวลา 63 ปี พรรษาได้76 พรรษา


