ใจกลางเอเชีย
ดินแดนใจกลางทวีปเอเชียนั้น ถือได้ว่าน่าสนใจมากในทศวรรษข้างหน้า เพราะเป็นดินแดนที่นักสำรวจชาวตะวันตกยังเข้าไปได้น้อย ตั้งแต่ก่อนยุคล่าอาณานิคมแล้วเข้าถึงยาก เพราะต้องอาศัยสัตว์พาหนะปริมาณมากมาย พร้อมกองคาราวานยาวเหยียดเพียงเพื่อจะไปให้ถึงและผ่านไปอีกฝั่ง แปลว่าเดินทางไม่สะดวก
ดินแดนใจกลางทวีปเอเชียนั้น ถือได้ว่าน่าสนใจมากในทศวรรษข้างหน้า เพราะเป็นดินแดนที่นักสำรวจชาวตะวันตกยังเข้าไปได้น้อย ตั้งแต่ก่อนยุคล่าอาณานิคมแล้วเข้าถึงยาก เพราะต้องอาศัยสัตว์พาหนะปริมาณมากมาย พร้อมกองคาราวานยาวเหยียดเพียงเพื่อจะไปให้ถึงและผ่านไปอีกฝั่ง แปลว่าเดินทางไม่สะดวก
ต่างจากการใช้เรือใบ เรือปืน และเรือสินค้าเดินทางข้ามทะเล ที่ทำให้เกิดคำว่า “สมุทรานุภาพ” ซึ่งนักทฤษฎีสมัยหนึ่งเอื้อนเอ่ยไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ผู้ใดกุมอำนาจทางทะเล ผู้นั้นย่อมกุมการค้าผู้ใดกุมการค้า ผู้นั้นย่อมครองความมั่งคั่ง ผู้ครองความมั่งคั่งย่อมครองโลก”
ทฤษฎีนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้มหาอำนาจทุกชาติในโลกมุ่งสู่ทะเล ตั้งกองเรือออกค้าขาย สร้างเมืองท่า ทำการค้า และล่าเมืองขึ้นเพื่อหาวัตถุดิบ แร่ธาตุ ผลิตผลการเกษตร น้ำมัน ถ่านหิน รวมทั้งล่าทาสมาเป็นบริวารใน 100 ปีที่แล้ว แต่มหาอำนาจไม่มุ่งทะเลทราย ในประวัติศาสตร์มีชื่อนักเดินเรือชาวตะวันตกมากมาย แต่นักเดินทางข้ามทะเลทรายชาวตะวันตกเกือบไม่มีใครเคยได้ยินชื่อ
ดังนั้น ดินแดนตอนกลางของเอเชีย ซึ่งมีทะเลทรายโกบี ทะเลทรายทากลามากัน ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไซบีเรีย เทือกเขาอูราล เทือกเขาอัลไต ทะเลสาบแคสเปียน และบางส่วนของเทือกเขาหิมาลัยขวางกั้นอยู่นั้น จึงไม่ค่อยมีใครตั้งใจไปสำรวจ มีแต่อยากจะเดินทางข้ามเป็นหลักใหญ่
เป็นอย่างนี้มาตั้ง 2,000 ปีแล้ว โลกรู้จักดินแดนแถบนี้ ผ่านเส้นทางสายไหมในสมัยฮั่นของจีน จากนั้นก็ไม่ค่อยมีใครข้ามไปมาอย่างเป็นเรื่องเป็นราว นอกจากพวกมองโกลที่ตีข้ามแดนจากจีนถึงฮังการี ซึ่งตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง จนกระทั่งมาร์โคโปโลจากเวนิสข้ามไปค้าขายถึงจีนในสมัยราชวงศ์หมิง ตรงกับสมัยอยุธยาของเรา หลังจากนั้นดินแดนตอนกลางของเอเชียก็อยู่ภายใต้อิทธิพลของสหภาพโซเวียตมาโดยตลอด
เรื่องราวของดินแดนแถบนี้ จึงไม่ค่อยหลุดออกมาสู่ชาวโลก แม้ว่าภายหลังจะมีทางรถไฟสายทรานไซบีเรียของรัสเซีย แต่ก็เป็นกิจกรรมของชาวรัสเซียกันเองเป็นส่วนใหญ่ และทางรถไฟก็ยังเข้าไม่ถึงดินแดนพวกนี้มากนัก
จนกระทั่งปี 1992 การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ทำให้มีรัฐเกิดใหม่ที่แยกตัวออกมา รวมถึงบางส่วนของรัสเซียที่ยังเหลืออยู่ ชาติเหล่านี้ต่างก้าวสู่โลกทุนนิยม เปิดตัวให้บรรษัทยักษ์ของโลกตะวันตก เข้าไปสำรวจในช่วง 10 ปีมานี้ จึงได้พบปริมาณน้ำมันดิบในระดับโลกที่อยู่ลึกลงไปใต้แผ่นดินอันหนาวเย็น แหล่งแร่และก๊าซธรรมชาติจำนวนมหาศาล ไม่นับถึงเหมืองเพชรและทองคำในไซบีเรีย และอีกหลายที่ในเอเชียกลาง รวมทั้งในรัสเซียตะวันออกและในจีนตะวันตก
ประธานาธิบดีปูติน จึงประกาศนโยบายมุ่งสู่ตะวันออก (หมายถึงตะวันออกจากมอสโก) เพราะนี่คืออนาคตใหม่ของรัสเซีย จีนก็มุ่งทุ่มเทการพัฒนาสู่ตะวันตก ทั้งเพื่อดึงดูดให้คนจีนไม่มุ่งไปทะเลตะวันออกเสียหมด และก็เพราะสินแร่และช่องทางรับส่งพลังงานสำคัญที่จีนต้องใช้ป้อนประชากรทั้งประเทศก็อยู่ทางทิศตะวันตก
เพียงแต่เวลานี้ จีนลดสปีดทางเศรษฐกิจลงเพื่อป้องกันอาการฟองสบู่แตก ทั้งรัสเซียและจีนจึงลดความพึ่งพาต่อโลกลงเรื่อยๆ เพราะรู้แล้วว่าสวนหลังบ้านของตัวนี่แหละคือขุมสมบัติสำคัญ ส่วนชาติเกิดใหม่ในแถบเอเชียกลางก็กำลังเปิดบ้านให้ทุนตะวันตกเข้าไปลงทุนกันต่อไป
แต่บังเอิญเหลือเกินที่เงินตะวันตกกำลังชอร์ต...การลงทุนในแหล่งทรัพยากรธรรมชาตินั้น ต้องมีสินเชื่อที่ยาวนานมั่นคงพอ ยุโรปยังอยู่ในภาวะรูดลง ส่วนสหรัฐเพิ่งจะออกจากไอซียู แต่ก็ยังต้องค่อยๆ ฟื้นไป อุปสรรคอีกอย่างที่ตะวันตกไม่คุ้น คือ ดินแดนเหล่านี้มีความเป็นมุสลิมขึ้นมาก (หลังถูกโซเวียตห้ามนับถือมานาน)
นี่คือโอกาสดีของเอเชีย รวมทั้งอาเซียนซึ่งครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิม...เสียดายหน่อยก็คือ อาเซียนยังไม่มีวิธีรวมตัว 10 ชาติ เพื่อร่วมกันออกไปลงทุนในพื้นที่ใหม่ๆนอกอาเซียนนำผลประโยชน์กลับมาแบ่งกัน
โอกาสในใจกลางของเอเชียยังไม่ปิดไปง่ายๆ หรอกครับ...ทั้งจีนตอนใต้ รัสเซียฝั่งตะวันออก อุซเบกิซสถาน คาซัคสถาน แม้คีร์กีซสถาน ทาจิกิสถาน และเติร์กเมนิสถาน จะมีขนาดเล็กและไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ก็ทำให้เหลือคู่แข่งการลงทุนเข้าไปน้อย
รัฐบาลไทยอาจลองคิดวางแผนร่วมกับเอกชนไทยไว้ล่วงหน้า สร้างความรู้และวางยุทธศาสตร์ในการใช้ประโยชน์จากโอกาสที่กำลังเปิดอ้าขึ้นของเอเชียกลาง สร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เพื่อโอกาสลงทุนในดินแดนเหล่านี้ต่อไป


