posttoday

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

21 กรกฎาคม 2556

บัดนี้จักวิสัชนาพระธรรมเทศนาในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร

หมายเหตุ : เนื่องในวันอาสาฬหบูชา อันเป็นวันที่พระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลกคือ พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ รวมทั้งเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมที่ได้จากการตรัสรู้ คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ซึ่งเป็นปฐมเทศนา “คาบใบลานผ่านลานพระ” ขอนำธรรมบรรยายของพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) อดีตเจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส เรื่อง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มาเผยแผ่ดังต่อไปนี้

เอวมฺเมสุตนฺติอาทิกํ ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตฺตํ ภาสิสฺสามีติ.

บัดนี้จักวิสัชนาพระธรรมเทศนาในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรซึ่งเป็นปฐมเทศนานั้น มีคำปฏิญญาใจเบื้องต้นว่า “เอวมฺเม สุตํ” อย่างนี้ข้าพเจ้าได้ฟังแล้ว ดำเนินนิทานวจนะว่า “เอกํ สมยํ” สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้กรุงพาราณสี ตรัสเรียกเบญจวัคคีย์ภิกษุให้เป็นผู้รับธรรมเทศนา แล้วทรงแสดงพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ในพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น จัดเป็น 5 ประเภท ประเภทที่ 1 ทรงแสดงมิจฉาปฏิปทา ทางผิด 2 ประการ คือกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ประเภทที่ 2 ทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา ทางกลางตรงต่อพระนิพพาน ได้แก่ พระอัฏฐังคิกมรรค มี สัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ประเภทที่ 3 ทรงแสดงพระจตุราริยสัจ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ประเภทที่ 4 ทรงประกาศญาณทัสสนะสยัมภูสัมมาสัมโพธิญาณ อันบริสุทธิ์หมดจดพิเศษแล้วอย่างไรซึ่งมีแล้วในพระองค์ ประเภทที่ 5 ทรงปฏิญาณพระองค์ในทางสยัมภูพุทธวิสัย ให้เบญจวัคคีย์ภิกษุได้สดับ เพื่อให้เกิดญาณจักษุ มีใจความเป็น 5 ประเภทดังนี้

ประเภทที่ 1 แสดงตามสำเนาในพระสูตร มีใจความว่า “เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ลามกธรรมเหล่านี้ 2 ประการ คือกามสุขัลลิกานุโยโค ความประกอบเกี่ยวเกาะในกามทั้งหลายเป็นของต่ำจากอุตริมนุสสธรรม เป็นธรรมแห่งชาวบ้านเป็นของสำหรับปุถุชน ไม่ใช่ทางแห่งพระอริยะ เจือไปด้วยโทษเป็นทางผิดประการหนึ่ง อัตตกิมลถานุโยโค ความประกอบตามซึ่งความลำบากเหน็ดเหนื่อยแก่ตน เป็นทุกข์ด้วย ไม่ใช่ทางแห่งพระอริยะด้วยเจือไปด้วยโทษด้วย เป็นทางผิดอีกประการหนึ่ง อันบรรพชิตผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ไม่พึงเสพสมาคมประพฤติปฏิบัติเลย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ฉลาดในมรรคา ทรงแสดงทางผิด คือกามสุขัลลิกานุโยคและอัตตกิลมถานุโยโคก่อน ให้เบญจวัคคีย์ทราบด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงแสดงประเภทที่ 2 อันเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางกลางตรงต่อพระนิพพาน ณ ภายหลังว่า “เอเต เต ภิกฺขเว อุโภ อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมาปฏิปทา” ดูกรภิกษุทั้งหลาย มัชฌิมาปฏิปทา ทางกลางตรงต่อพระนิพพาน ไม่เข้าใกล้ลามกธรรมทั้งสองประการนั้น “ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา” อันพระตถาคตเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว เป็นญาณจักษุกำจัดมืดมหันธการ คือโมหะให้พินาศแล้ว “อภิญฺญาย สมฺโพธายนิพฺพานาย สํวตฺตติ” ย่อมเป็นไปเพื่ออภิญญาสัมโพธนฤพาน เป็นเขมวิถีมรรคาเอกด้วยประการฉะนี้ แล้วทรงจำแนกมรรคา มีองค์อวัยวะ 8 ประการนั้น คือ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบ 1 สัมมาสังกับโป ความดำริชอบ 1 สัมมาวาจา วิรัติธรรมเป็นเหตุเจรจาชอบ 1 สัมมากัมมันโต วิรัติธรรมเป็นเหตุทำการด้วยการชอบ 1 สัมมาอาชีโว เครื่องอาศัยเลี้ยงชีพชอบ 1 สัมมาวายาโม พยายามชอบ 1 สัมมาสติ ระลึกชอบ 1 สัมมาสมาธิ ตั้งใจไว้เสมอชอบ 1 องค์

8 ประการนี้เป็นองค์อวัยวะสัมภาระของมรรคาจึงเป็นอัฏฐังคิโก มัคโค มรรคามีองค์อวัยวะ 8 ประการ “อริโย” เป็นทางกำจัดข้าศึกภายในคือกิเลสได้จริง มรรคาเดียวเท่านี้ เป็นมัชฌิมาปฏิปทา ทางกลางที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว กระทำจักษุคือปรีชาญาณเป็นไปเพื่ออภิญญาสัมโพธนฤพาน ดับซึ่งสงสารทุกข์ทั้งปวง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสัมมาปฏิปทา อันเป็นประเภทที่ 2 โดยนัยดังวิสัชนามาด้วยประการฉะนี้

ต่อนี้จักแสดงเนื้อความโดยอรรถาธิบายด้วยพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แสดงโดยบุคลาธิษฐาน มีเบญจวัคคีย์ภิกษุเป็นที่อ้าง คือ บรรพชิตเป็นผู้รับเทศนา เท่ากับว่าทรงสอนบรรพชิตอย่างเดียว แต่ความจริงธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นของกลาง แม้นผู้ครองเคหสถานก็อาจน้อมไปให้สำเร็จกิจของตนได้บางประการเหมือนกัน ในประเภทที่ 1 ทรงแสดงกามสุขัลลิกานุโยค และอัตตกิลมถานุโยค ว่าเป็นทางผิด คือผิดต่อทางกลางคือทางตรงต่ออุตริมนุสสธรรม ได้แก่ พระอัษฎางคิกมรรค เพราะกามสุขัลลิกานุโยค เกี่ยวด้วยอิฏฐารมณ์ สัสสตานุสัย อัตตกิลมถานุโยค เกี่ยวด้วยอนิฏฐารมณ์ อุจเฉทานุสัย ส่วนกามสุขัลลิกานุโยค ต้องหมายความว่าเข้ากับตนเกินไป ด้วยอารมณ์ทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ส่วนเป็นอิฏฐารมณ์ คือ ส่วนที่ชอบใจเป็นที่พึงปรารถนา ส่วนที่มีอยู่แล้วก็เพลินอยู่แล้ว ที่ยังไม่มีก็ยังมีหวังต่อไป

เมื่อเพลินอยู่ในอามิสสุขเช่นนี้ ย่อมเป็นนิวรณ์กางกั้นนิรามิสสุขอยู่เอง การที่ต้องเพลิดเพลินอยู่ในอารมณ์นั้นๆ ก็เพราะความเห็นตนและอารมณ์นั้นๆ เป็นของถาวรยั่งยืน จึงเห็นความว่าเข้ากับตนเกินไป กามสุขัลลิกานุโยค จึงนับว่าเป็นทางผิดประการหนึ่ง ส่วนอัตตกิลมถานุโยค ต้องหมายความว่าเกลียดชังตนเกินไป เห็นตนเป็นโทษโดยส่วนเดียว จึงขาดเมตตาในตน ทำตนให้ลำบากด้วยประการต่างๆ ดังบรรพชิตบางพวก ทรมานตนให้ลำบากมีอดอาหารตั้ง 7 วัน 15 วันเป็นต้น ฝ่ายคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เมื่อประสบอนิฏฐารมณ์คืออารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนาเป็นต้นว่า สามี ภรรยา บุตร นัดดา ตาย หรือเกิดวิบัติแห่งโภคทรัพย์ อย่างหนึ่งอย่างใดขึ้น ก็เกิดความโศกเศร้าเสียใจร้องไห้ทุบอกทุบองค์ของตน อดข้าวปลาอาหารตั้ง 4 ซ้า 5 วัน จนซูบจนผอม ซึ่งเป็นการหาผลประโยชน์ทางดีไม่ได้ การที่ทำโทษแก่ตนอย่างนี้ ก็เพราะขาดความรักความกรุณาแก่ตน เห็นตนไม่มีประโยชน์ ผู้ติดอยู่ด้วยกังวลเหล่านี้ ย่อมเป็นนิวรณ์กางกั้นต่อทางสัมมาปฏิบัติอยู่เอง อัตตกิลมถานุโยคจึงนับว่าเป็นทางผิดอีกประการหนึ่ง

ส่วนมัชฌิมาปฏิปทา ปฏิบัติเป็นกลาง คือกลางสุขกลางทุกข์ ได้แก่ ความไม่ติดไม่ข้องอยู่ในทางผิดทั้งสองนั้น ปฏิบัติตรงต่อไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ตรงตามพระอัฏฐังคิกมรรค ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปัญญาก่อน เห็นจะเป็นเพราะท่านเบญจวัคคีย์ได้บำเพ็ญศีลสมาธิอยู่แล้ว ถ้าไม่เช่นนั้นก็เป็นการชี้ผลค้นหาเหตุ เพราะผลพระองค์ทรงแสดงให้กระจ่างแจ่มแจ้งแล้ว การสาวหาเหตุก็ไม่ลำบาก อาศัยเหตุนี้พระองค์จึงทรงแสดงสัมมาทิฏฐิญาณทัสสนะเป็นประธานแห่งองค์มรรคทั้งปวง ยกเป็นอุเทศขึ้นว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นชอบเป็นอาทิ ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตรทรงแสดงแต่เพียงอุเทศเท่านั้น ต้องอาศัยที่มาในมัคควิภังคสูตร ทรงแสดงอุเทศนิเทศเป็นปุจฉาวิสัชนา มีใจความในองค์ที่ 1 ปุจฉาว่า เห็นอย่างไร จึงชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ? ตอบว่า มีญาณหยั่งรู้ในทุกข์ ในสมุทัย ในนิโรธ ในมรรค นี่แหละชื่อว่า สัมมาทิฏฐิ ในองค์ที่ 2 ปุจฉาว่า ดำริอย่างไรชื่อว่า สัมมาสังกับโป? ตอบว่า ความดำริเห็นโทษของกามว่าเป็นเครื่องผูกพันเกี่ยวเกาะทำให้ปัญญาทุพพลภาพ ดำริหาโอกาสที่จะหลีกจากกาม แลเห็นโทษแห่งพยาบาทวิหิงสา เห็นคุณแห่งเมตตากรุณา ดำริให้จิตสัมปยุตอยู่ด้วยเมตตากรุณา นี่แหละชื่อว่า สัมมาสังกัปโป ในองค์ที่ 3 ปุจฉาว่า เจตนาวิรัติอย่างไร จึงชื่อว่า สัมมาวาจา? ตอบว่า เจตนาวิรัติ ว่า จักไม่กล่าวคำเท็จคำหยาบ คำส่อเสียด คำไร้ประโยชน์มีสมาทานเจตนาว่าจักกล่าวแต่คำจริง คำอ่อนโยน คำสมัครสมานคำเป็นไปกับด้วยประโยชน์ นี่แหละชื่อว่าสัมมาวาจา ในองค์ที่ 4ปุจฉาว่า เจตนากรรมวิรัติอย่างไร ชื่อว่าสัมมากัมมันโต? ตอบว่า เจตนาคือตั้งใจ ว่า จักไม่ฆ่าสัตว์ และจักไม่ลักของท่าน และจักไม่ล่วงประเวณีที่มีผู้หวงแหน ตั้งใจว่าจักประกอบการงานด้วยกายให้สัมปยุตด้วยเมตตากรุณาอยู่ทุกเมื่อ นี้แหละชื่อว่า สัมมากัมมันโต ในองค์ที่คำรบ 5 ปุจฉาว่า เจตนากรรมวิรัติอย่างไร ชื่อว่าสัมมาอาชีโว?ตอบว่า เจตนากรรม คือตั้งใจเว้นอุบายทางหาเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย ตั้งใจแสวงหาการเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม นี้แหละชื่อว่า สัมมาอาชีโว?

ในองค์ที่ 6 ปุจฉาว่า ตั้งความเพียรอย่างไร ชื่อว่าสัมมาวายาโม? ตอบว่า เพียรละบาปที่มีอยู่แล้วไม่ให้มีต่อไป บาปที่ยังไม่เคยมีก็เพียรระวังไม่ให้มีขึ้น เพียรบำรุงบุญกุศลที่ไม่เคยมีให้มีขึ้น ส่วนบุญกุศลที่เคยมีอยู่แล้ว ก็เพียรกระทำให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป นี่แหละชื่อว่าสัมมาวายาโม ในองค์ที่ 7 ปุจฉาว่า ตั้งสติอย่างไร ชื่อว่าสัมมาสติ? ตอบว่า ตั้งสติที่กาย ที่เวทนา ที่จิต ที่ธรรม นี่แหละชื่อสัมมาสติ ในองค์ที่ 8 ปุจฉาว่า ตั้งใจอย่างไร จึงชื่อว่าสัมมาสมาธิ? ตอบว่า ตั้งใจให้สัมปยุตในองค์ฌานทั้ง 4 คือปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน นี่แหละชื่อว่า สัมมาสมาธิ

เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงมัชฌิมาปฏิปทา สัมมาปฏิบัติ สรุปอุเทศดังนี้แล้ว สัมมาทิฏฐิญาณจักษุที่สามารถประหารกิเลส มีธรรมประเภทใดเป็นเครื่องรับรอง จึงทรงแสดงธรรมเครื่องรับรองญาณจักษุ คือพระอริยสัจธรรมทั้ง 4 ประการ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ทุกขอริยสัจเป็นปฐม พระองค์ตรัสเทศนาดังนี้ว่า “อิทํ โข ปน ภิกฺขเว ทุกฺขํ อริยสจฺจํ” ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อันนี้แล ทุกขอริยสัจของจริงอย่างประเสริฐ คือ ทุกข์ ชาติปิ ทุกฺขา แม้ชาติความเกิด ด้วยเป็นขันธ์ 5 ขันธ์ 1 ขันธ์ 4 ในสัตตนิกายนั้นๆ โดยชลาพุชะ อัณฑชะ สังเสทชะ อุปปาติกะ ชื่อว่าชาติความเกิดก็เป็นทุกข์ ชราปิ ทุกฺขา แม้ความชำรุดเสื่อมถอยแห่งขันธ์ที่เกิดแล้วนั้นก็เป็นทุกข์ มรณมฺปิ ทุกขํ แม้มรณะความแตกแห่งขันธ์ที่เกิดแล้ว ชำรุดแล้วนั้นก็เป็นทุกข์ โสกปริเทวทุกฺขโทมนสฺสุปายาสาปิ ทุกฺขา ก็เป็นทุกข์ แต่ละอย่างๆ อยู่ร่วมกันด้วยสัตว์และสังขารที่ไม่ชอบใจก็เป็นทุกข์ พลัดพรากไปจากสัตว์และสังขารที่ตนรักใคร่ก็เป็นทุกข์ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น สมหวังก็เป็นทุกข์ สงฺขิตฺเตน ปญฺจุปาทานกฺขนฺธา ทุกฺขา โดยย่นย่อแล้วอุปทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นทุกข์ ทุกข์ทั้งปวงย่นลงในอุปทาน

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา