ทำดี ไม่ได้ดี
ในสังคมปัจจุบันมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อมั่นในการทำความดีและตั้งใจทำความดี โดยไม่หวังผล แต่ก็มีคนอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่มั่นใจ เพราะพยายามทำความดีซึ่งยากกว่าการทำความชั่วแล้ว แอบหวังบ้าง คอยติดตามดูบ้าง ว่าเมื่อไหร่หนอความดีจะให้ผลและสิ่งที่ปรารถนาจะสำเร็จ บางคนท้อถอยหรือละเลิกไปเลยเพราะเห็นคนที่ทำความชั่วแล้วกลับได้ดี เมื่อเปรียบกับตนเองแล้วจึงเสียใจและผิดหวัง MQ วันนี้จึงขอนำเอาเรื่องเหตุผลของการทำความดีที่ว่าทำไมทำแล้วจึงยังไม่ได้ดีมาพยายามอธิบาย เป็นกำลังใจและเป็นแนวทางให้ทำดีกันต่อไป
ในสังคมปัจจุบันมีคนส่วนหนึ่งที่เชื่อมั่นในการทำความดีและตั้งใจทำความดี โดยไม่หวังผล แต่ก็มีคนอีกส่วนหนึ่ง ที่ไม่มั่นใจ เพราะพยายามทำความดีซึ่งยากกว่าการทำความชั่วแล้ว แอบหวังบ้าง คอยติดตามดูบ้าง ว่าเมื่อไหร่หนอความดีจะให้ผลและสิ่งที่ปรารถนาจะสำเร็จ บางคนท้อถอยหรือละเลิกไปเลยเพราะเห็นคนที่ทำความชั่วแล้วกลับได้ดี เมื่อเปรียบกับตนเองแล้วจึงเสียใจและผิดหวัง MQ วันนี้จึงขอนำเอาเรื่องเหตุผลของการทำความดีที่ว่าทำไมทำแล้วจึงยังไม่ได้ดีมาพยายามอธิบาย เป็นกำลังใจและเป็นแนวทางให้ทำดีกันต่อไป
เรื่องของกรรมและการให้ผลของกรรมนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงไว้ว่า เป็น “อจินไตย” คือ เรื่องที่ไม่ควรคิดเรื่องหนึ่ง เป็นสิ่งที่ไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดของปุถุชน หากคิดมากเข้าอาจมีส่วนของความเป็นบ้าได้ ด้วยกรรมมีความสลับซับซ้อนเพราะเราเกิดมาหลายภพชาติ ทำความดีความชั่วกันมามากมาย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่เกินปัญญาของปุถุชนที่จะรู้ได้โดยคิดนึกเอา อาจเปรียบเหมือนการคิดจะแก้ด้ายกลุ่มใหญ่ ที่ยาวและยุ่ง พันกันมาเนิ่นนาน
อย่างไรก็ตาม พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้อย่างชัดเจนว่า กุศล หรือบุญ หรือการทำความดีนั้นย่อมให้ผลดี คือมีผลเป็นความสุข ส่วน อกุศล หรือบาป หรือการทำความชั่วนั้น ย่อมให้ผลร้าย คือมีผลเป็นความทุกข์อย่างแน่นอน (ในบทพระอภิธรรมที่พระท่านสวด กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา นั่นเอง) ดังนั้น เรื่องอดีตนั้นแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่ปัจจุบันเราเลือกที่จะทำดีหรือทำชั่วได้ มาเข้าประเด็นที่ว่าทำไมหลายคนทำความดีแล้วไม่ได้ดี?
คำตอบที่ชัดเจนแน่นอนคงไม่อาจทราบได้ว่า ทำไมทำดี แล้วยังไม่ได้ดี ... ท่านอาจมีกรรมอื่นที่กำลังให้ผลอยู่ หรืออาจทำบุญแต่ได้เนื้อนาบุญที่ไม่ไพบูลย์ หรือจิตของท่านคิดอย่างไร หรือท่านทำบุญไม่ตรงกับผลที่ปรารถนา มีเหตุผลมากมายที่ไม่อาจรู้ได้โดยง่ายเลย เมื่อเราไม่อาจทราบเรื่องของกรรมเก่าได้แน่ชัด สิ่งที่ทำได้ก็คือ การทำความดีปัจจุบันของเรานั่นเอง มาดูว่าการทำบุญของเรา ที่เราปรารถนาผลนั้นจะให้ได้ผล ก็ต้องกระทำเหตุให้สมควรแก่ผล เสมือนกับว่า บุคคลหนึ่งปรารถนาที่จะบรรลุเป็นพระอรหันตสาวก ก็ต้องสร้างเหตุกระทำบุญกุศลสร้างบารมี ขณะที่อีกคนหนึ่งปรารถนาการบรรลุเป็นพระมหาสาวกเบื้องซ้ายหรือเบื้องขวา เช่นดังพระโมคคัลลานะพระสารีบุตร อย่างนี้ก็ต้องสร้างเหตุที่มีกำลังมากขึ้นไปอีกเพราะปรารถนาผลที่เลิศกว่าบุคคลแรก ส่วนอีกบุคคลหนึ่งปรารถนาจะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ก็ต้องสร้างเหตุดี คือบุญกุศลเป็นบารมีให้เต็มเพียงพอสำหรับการเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งก็มากมายกว่าการบรรลุเป็นสาวกและมากกว่าการบรรลุเป็นอัครสาวกยิ่งนัก ดังนี้เป็นต้น
นอกจากนั้นแล้ว ในการทำความดี การทำบุญนั้น ที่ทำแล้วไม่ค่อยสำเร็จ ไม่มีผลพิเศษ นอกจากจะยังทำไม่ถูกต้องหรือยังไม่เพียงพอหรือยังมีกรรมเก่ามากั้นหรือสาเหตุอื่นใด สิ่งหนึ่งที่เราควรต้องมาตรวจสอบว่า การทำบุญกุศลทำความดีนั้น เราทำประกอบด้วย อิทธิบาท 4 หรือแล้วหรือไม่ อย่าลืมว่า การกระทำอะไรให้สำเร็จนั้นต้องประกอบด้วย อิทธิบาท 4 อันได้แก่ ฉันทะ (ความพอใจ) วิริยะ (ความเพียร) จิตตะ (จิตมุ่งมั่น) และวิมังสา (ปัญญา) อิทธิบาท 4 นี้ต้องมีกำลัง จะเป็นประการใดประการหนึ่งใน 4 ข้อนี้ก็ได้ เรียกว่าให้เข้าถึงความเป็นอธิบดี คือเป็นใหญ่มีกำลัง การกระทำบุญนั้นๆ จึงจะสำเร็จได้ด้วยดี และให้ผลคืออานิสงส์แรงเป็นพิเศษกว่าที่เป็นไปอย่างธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อเราปรารถนาสิ่งที่ยิ่งที่เลิศ ก็ต้องลองดูความเพียรของพระโพธิสัตว์ ดังที่เราทราบกันดีอยู่ว่า พระมหาชนกนั้น ว่ายน้ำข้ามมหาสมุทร เมื่อเรือสำเภาแตก ยังสมาทานศีลและว่ายอยู่ 7 วัน แม้ไม่เห็นฝั่งเลย แต่ก็ไม่ท้อถอย ด้วยมีวิริยะคือความเพียรเป็นอธิบดี แม้จะถูกถามให้ท้อถอยว่าท่านว่ายน้ำทำไมฝั่งยังไม่เห็น ก็ไม่ได้ย่อท้อ
หากเราสำรวจดูให้ดีก็อาจจะพบว่า เราอาจยังไม่ได้ทำความดีประกอบด้วยอิทธิบาท 4 แต่ประกอบด้วยความย่อหย่อน เมื่อกระทำ ก็กระทำพอควร แต่หวังผลมาก หรือเมื่อเจออุปสรรคก็ท้อถอยเลิกล้ม หรือกระทำความดีประกอบด้วยความโลภหรือไม่ อย่าลืมว่าก่อนจะปรารถนาสิ่งใด ควรคิดดูก่อนว่าสิ่งนั้นเป็นความดีหรือความชั่ว หากเราตั้งใจด้วยความโลภเสียแล้วผลก็ย่อมอ่อน หากจะทำดีควรตั้งใจทำความดีให้เต็มที่ ให้ความดีเป็นความดีที่ดีงามพร้อมเข้มแข็งจริงๆ ให้ได้ชนะกิเลส ทำโดยประกอบด้วยอิทธิบาท 4 ระลึกถึงความดีนั้นแล้วตั้งปรารถนาในสิ่งที่ดี จะดีกว่าหรือไม่ เพราะหากเริ่มต้นทำความดี ด้วยความห่วงกังวลแต่ผล คิดถึงแต่ความปรารถนาในทางโลกทางวัตถุปนเปกันไป แบบนี้กุศลคงเกิดสลับกับความโลภและไม่ประกอบด้วยอิทธิบาท 4 ไม่มีกำลัง เพราะมัวแต่อยากได้ ... แล้วจะมาบ่นว่า ทำดี...ไม่ได้ดี ก็ความดีนั้นยังไม่ได้ทำอย่างดีเลย ไม่ฝักใฝ่พอใจในการทำดีนั้น ไม่ประกอบด้วยความเพียร จิตใจไม่มั่นคงในการกระทำความดี ไม่ประกอบด้วยปัญญา มีแต่ความโลภความปรารถนา แล้วจะได้ดีได้อย่างไร ... หากเปรียบเหมือนคนป่วย ต้องการหายจากโรค แต่ไม่ทำความฉลาดในการใช้ยา สักแต่ว่าเขาว่ายานี้ดีใช้แล้วจะหาย แต่ไม่ศึกษาว่ายานี้ต้องใช้อย่างไร วิเคราะห์โรคหรือยังว่าเป็นอะไรแน่ ยานี้ใช้อย่างไร กิน ทา หรือฉีด และเมื่อใช้ยาแล้วกลับไปทานสิ่งที่แสลงหรือสิ่งที่มีผลลดคุณภาพของยานั้น หรือกระทำตนไม่เหมาะกับโรคที่ป่วย เป็นต้น
ดังนั้น คนใช้ยาเดียวกัน จึงไม่แปลกที่คนหนึ่งหาย อีกคนอาจไม่หาย อีกคนอาจเป็นหนักกว่าเดิมก็ได้ แล้วจะโทษใคร... โทษยา หรือโทษคนใช้ยา?


