ข่าวสั้น

ตั้งกองทุนซื้อยางผ่าน AFET

นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รมช.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยผลการหารือร่วมกับผู้ประกอบการส่งออกยางพารารายใหญ่ของไทย 5 บริษัทว่า มีมติร่วมกันที่จะตั้งกองทุนยางพาราซื้อขายยางผ่านตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (เอเฟต) เพื่อจะผลักดันราคายางในตลาดให้สูงขึ้น มีเป้าหมายที่ 110 บาท/กิโลกรัม จากปัจจุบันราคาประมาณ 7679 บาท/กิโลกรัม และเชื่อว่านโยบายนี้จะทำให้ตลาดซื้อขายยางพาราของไทยสามารถขยายใหญ่ได้มากกว่าตลาดโตคอมของญี่ปุ่นด้วย กองทุนนี้มีอายุ 1 ปี เงินกองทุนมาจากการร่วมลงทุนของเอกชน 7 รายๆ ละ 30 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 210 ล้านบาท ตั้งเป้าว่าจะเริ่มซื้อขายยางได้ตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.นี้ พร้อมคาดว่าจะมีปริมาณการซื้อขายยางได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 400 สัญญา และไม่ต่ำกว่าวันละ 5 หมื่นตัน

ภาคเอกชนที่ร่วมตั้งกองทุนประกอบด้วย องค์การสวนยาง (อ.ส.ย.) บริษัท ร่วมทุนยางพาราระหว่างประเทศ (ไออาร์ซีโอ) บริษัท ไทยฮั้วยางพารา บริษัท ศรีตรัง แอโกร อินดัสทรี บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) บริษัท เซาท์แลนด์ รับเบอร์ และบริษัท วงศ์บัณฑิต

กบง.ลดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รมว.พลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ปรับลดอัตราการจัดเก็บเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของดีเซลลง 30 สต./ลิตร จากเดิมจัดเก็บอยู่ 2.40 บาท/ลิตร เป็น 2.10 บาท/ลิตร เนื่องจากราคาน้ำมันตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น จำเป็นต้องพยุงราคาขายปลีกดีเซลในประเทศไว้ไม่ให้เกินลิตรละ 30 บาท ส่งผลให้การปรับอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้จะทำให้กองทุนน้ำมันฯ มีรายรับลดลง จากเดิมมีรายรับประมาณ 140 ล้านบาท/วัน เป็นรายรับประมาณ 123 ล้านบาท/วันโดยกองทุนน้ำมันฯ ยังมีสถานะเป็นบวก โดย ณ วันที่ 9 มิ.ย. มีฐานะสุทธิเป็นบวกประมาณ 708 ล้านบาท สำหรับนโยบายการปรับราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) ยืนยันว่าไม่มีการเลื่อนไปจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ก.ค. แต่ยังบอกไม่ได้ว่าจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนในอัตราเท่าไหร่ แต่ในหลักการหากปรับขึ้นแอลพีจีได้จะทำให้ราคาน้ำมันมีโอกาสปรับลดลง เนื่องจากภาระกองทุนน้ำมันฯ ที่นำไปชดเชยแอลพีจีจะลดลง และสามารถปรับลดการนำเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ของน้ำมันแต่ละชนิดได้บ้าง