posttoday

วสิษฐชี้สถานการณ์บ้านเมืองกำลังพินาศ

07 พฤษภาคม 2556

วสิษฐ เดชกุญชรโพสต์แฟนเพจส่วนตัวชี้สถานการณ์บ้านเมือง ขณะนี้กำลังบ่ายหน้าไปสู่ความพินาศ

วสิษฐ เดชกุญชรโพสต์แฟนเพจส่วนตัวชี้สถานการณ์บ้านเมือง ขณะนี้กำลังบ่ายหน้าไปสู่ความพินาศ

พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร นักเขียนชื่อดัง และศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ พ.ศ 2541 โพสต์ข้อความผ่านแฟนเพจวสิษฐ เดชกุญชร วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมืองต่อกรณีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแเดงหน้าที่ทำการศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อบังให้คับให้ตุลาการทั้ง9คน ยุติการทำหน้าที่โดยมีเนื้อหาที่น่าสนใจดังนี้

สถานการณ์บ้านเมืองดังที่ปรากฏอยู่ในปัจจุบันนี้คงไม่ทำให้ใครสบายใจได้ ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มสื่อวิทยุประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (กวป.) สวมเสื้อแดงปักหลัก ชุมนุมอยู่ที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่วันที่ ๒๑ เมษายน จนถึงวันที่เขียนเรื่องนี้ (๔ พฤษภาคม) เป็น เวลา ๑๔ วันแล้ว เพื่อบังคับให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง ๙ คน “ยุติบทบาทหน้าที่” นอกจาก นั้นยังประกาศตั้ง “สน.ประชาชน” ขึ้น (ไม่แน่ชัดว่าหมายถึงสถานี หรือสถานีตำรวจนครบาล) นัยว่าเพื่อเป็นที่รับคำร้องจากประชาชน และเมื่อประชาชนพบเห็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก็ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ดำเนินคดี

กลุ่ม กวป.อ้างว่าการชุมนุมของตนเป็นไปโดยสงบและไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความ แตกแยก แต่เมื่อดูพฤติการณ์ของกลุ่มแล้ว ก็ยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นเช่นนั้น เพราะนอกจากการชุมนุมเรียกร้องที่ทำเป็นเชิงบังคับแล้ว ผู้นำของกลุ่มยังประกาศจะให้ผู้ชุมนุมแต่งกายด้วยชุดดำ และ จะนำ “กระดูกวิญญาณ” ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง ๙ คนไป “ลอยอังคาร” นอกจากนั้น ผู้นำกลุ่มยังประกาศด้วยว่า หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ออกมาชี้แจง ในวันที่ ๘ เดือนนี้ (พฤษภาคม) จะยกระดับการชุมนุม โดยระดมประชาชนทั่วประเทศเรือนแสน มาขับไล่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และยกเลิกมาตรา ๓๐๙ ของรัฐธรรมนูญอีกด้วย

ครั้น เมื่อวันที่ ๒๖ เมษายนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญได้เดินทางไปแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม เพื่อให้ดำเนินคดีกับแกนนำ กวป. ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๖ และมาตรา ๑๙๘ โดยทำหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ พร้อมนำแผ่นซีดีบันทึกภาพและเสียงคำปราศรัย ในการชุมนุมที่บริเวณหน้าศาลรัฐธรรมนูญ ไปมอบให้ตำรวจเพื่อเป็นหลักฐานในการพิจารณาดำเนินคดี

รุ่งขึ้นวันที่ ๒๗ เมษายน โฆษกและทนายความของกลุ่ม กวป. พร้อมคนเสื้อแดงประมาณ ๑๐๐ คน ก็ได้ไปที่กองปราบปรามบ้าง และแจ้งความกล่าวหาว่าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความเท็จ

เมื่อบ่ายวันนี้เอง (๔ พฤษภาคม) กลุ่ม ภาคีเครือข่ายประชาชน ประกอบด้วยพลังธรรมาธิปไตย แนวร่วมคนไทยรักชาติรักษาแผ่นดิน และสภาเกษตรกรไทย จำนวนประมาณ ๑,๐๐๐ คน มี นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นผู้นำได้เดินทางโดยขบวนรถยนต์เข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อชุมนุมบ้าง นายไชยวัฒน์ แถลงว่า วัตถุประสงค์ของการชุมนุมก็คือเพื่อยืนยันปฏิเสธศาลโลก ปกป้องศาลรัฐ ธรรมนูญ ปกป้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และหยุด “ประชาธิปไตยสามานย์” โดยร่วมมือกับองค์กรภาคประชาชนภาคอื่นด้วย ส่วนสถานที่ชุมนุมในกรุงเทพ ฯ นั้น ยังไม่ได้กำหนด อาจจะเป็นทำเนียบรัฐบาล โดยจะตั้งเวทีขึ้นชื่อเวที “เดินทางไกล กอบกู้ราชอาณาจักรไทย” ส่วนการชุมนุมจะยืดเยื้อหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการหารือร่วมกัน

นายไชยวัฒน์ กล่าวด้วยว่า การโค่นล้มศาลรัฐธรรมนูญเป็นปรปักษ์ต่อการปกครอง และเป็นการละเมิดอำนาจอธิปไตย ส่วนการแบ่งแยกราชอาณาจักรไทยก็เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองเช่นเดียวกัน นายไชยวัฒน์ ยืนยันด้วยว่า “กลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชน” ไม่เกี่ยวข้องกับ “กลุ่มเครือข่ายชาติพันธุ์” และ ชนเผ่าพื้นเมือง” กว่า ๔๐ ชนเผ่า ที่เดินทางเข้ามาก่อนแล้ว

เครือข่ายชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองดังกล่าวประกอบด้วยเผ่าต่าง ๆ ทั่วประเทศกว่า ๔๐ เผ่า อาทิ กะเหรี่ยง อาข่า คะฉิ่น ลีซู ไทยวน ไทพวน ลาวเวียง ซึ่งทยอยกันเดินทางเข้ามาในกรุงเทพ ฯ ตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน เพื่อร่วมกันในกิจกรรมที่จะจัดขึ้นในวันที่ ๕ - ๖ พฤษภาคมนี้ ที่สวนอัมพรเพื่อถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันฉัตรมงคล

ที่น่าเป็นห่วงคือการชุมนุมของ กวป. ที่ผู้นำกลุ่มอ้างว่า ในวันที่ ๘ พฤษภาคม จะยกระดับโดยใช้กำลังเป็นแสน เพื่อกดดันตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมิให้ปฏิบัติหน้าที่ และการชุมนุมของกลุ่มภาคีเครือข่ายประชาชนที่มี นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นผู้นำ เพราะเป็นที่เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกลุ่มมีวัตถุประสงค์ต่างกัน ถ้าหากต่างกลุ่มต่างประชุมต่างสถานที่และห่างกัน โอกาสที่จะกระทบกระทั่งกันก็อาจจะไม่เกิดขึ้น หรือเป็นไปได้น้อย แต่ถ้าทั้งสองกลุ่มเคลื่อนเข้าไปใกล้กัน หรือ ฝ่ายหนึ่งใช้กำลังแม้เป็นส่วนน้อยเข้าไปรังควานหรือขัดขวางการชุมนุมของอีกฝ่ายหนึ่ง การกระทบกระทั่งก็คงจะเกิดขึ้น และอาจจะบานปลายเป็นการใช้กำลังเข้าต่อสู้กัน

การป้องกันและระงับเหตุเป็นหน้าที่ของตำรวจ ขณะนี้นอกจากกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจนครบาลไม่กี่ร้อยนายทีคอยรักษาความสงบอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว ยังไม่ได้ข่าวว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติเตรียมกำลังที่จะเผชิญเหตุแล้วหรือยัง ในกรณีที่กลุ่มใหญ่สองกลุ่มเกิดปะทะต่อสู้กันขึ้น

ถ้าเป็นเจตนาของผู้ใดฝ่ายใด ที่จะให้เกิดการปะทะต่อสู้จนกลายเป็นจลาจลขึ้นในบ้านเมือง เพื่อจะได้ใช้กำลังเข้าระงับปราบปราม และถือโอกาสยึดอำนาจการปกครอง จะได้เขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ได้ทั้งฉบับ และนิรโทษอาชญากรทุกประเภท ความพินาศก็จะเกิดขึ้นแก่บ้าน เมืองอย่างไม่ต้องสงสัย