posttoday

ศิษย์หลวงปู่จันทร์ หลานหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่หนูบาล จันทปัญโญ

28 เมษายน 2556

“เอออาจารย์บาลไม่เคยคิดร้ายต่อเสือ จิตไม่คิดร้าย ไม่เคยทำร้ายเสือ

โดย...ชาญวิทย์ อินต๊ะเสน

“เอออาจารย์บาลไม่เคยคิดร้ายต่อเสือ จิตไม่คิดร้าย ไม่เคยทำร้ายเสือมาหลายชาติ เสือมันเลยไม่คิดร้ายอาจารย์บาล พออาจารย์บาลไปไหนมีแต่เสือไปด้วย ล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ทำร้ายอาจารย์บาล เข้าใจบ่” นั่นคือคำปรารภของ พระครูภาวนาภิรัติ (วิ.) (หลวงปู่สังข์ สังกิจโจ) เจ้าอาวาสวัดป่า พระอาจารย์ตื้อ (วัดป่าสามัคคีธรรม (ปากทาง)) ถึงหลวงปู่หนูบาล จันทปัญโญ ของพระผู้เป็นลูกพี่ลูกน้อง

หลวงปู่หนูบาล จันทปัญโญ หรือในทินนามที่ พระครูวิรุฬห์ธรรมโอภาส เป็นคนบ้านข่า อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม โยมบิดาของหลวงปู่ชื่อ เบี้ยว โยมมารดาชื่อ กาสี

ท่านเกิดเมื่อเดื่อนยี่ ปี 2474 โยมบิดาของหลวงปู่สมัยก่อนนั้น เคยเป็นสามเณรติดตามพระอุปัชฌาย์คาน ธุดงค์จาริกติดตามหลวงปู่คานไปทั่วดินแดนภาคเหนือ อีสาน เลยเข้าไปจนถึงฝั่งประเทศพม่า จนกระทั้งโยมบิดาท่านอายุย่างเข้า 31 ปี เลยได้ลาสิกขามาแต่งงานอยู่กินกับโยมมารดาของหลวงปู่

หลวงปู่ท่านเล่าติดตลกเรื่องเหตุที่โยมบิดาท่านสึกจากสามเณร ว่า “ก็เพราะอาตมาไปตามท่าน ท่านเลยสึก”

หลวงปู่มีพี่น้องร่วมอุทรเป็นน้องสาวเพียงคนเดียว

การเรียนศึกษาหาความรู้ขององค์ท่าน เนื่องด้วยอยู่ใกล้กับวัดบ้านข่า จึงได้ศึกษาหาความรู้ภายในวัดบ้านข่า โดยเทียวเข้าเทียวออกระหว่างบ้านและวัด จนมีความรู้ความเข้าใจในข้อวัตรปฏิบัติของพระภิกษุสามเณร จนทำให้มีใจใฝ่ในทางการบวช

เมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก็ได้ช่วยโยมบิดามารดาทำไร่ทำนาตามประสาชีวิตชาวบ้านในชนบทเมื่อกว่า 70 ปีที่แล้ว พออายุได้ 15 ปี โยมบิดาของหลวงปู่เลยได้พาหลวงปู่ไปบรรพชาที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม โดยมี พระเดชพระคุณ พระสารภาณมุณี (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์

ครั้นเมื่อบวชแล้ว ท่านได้ศึกษานวโกวาทตลอดจนข้อวัตรเพิ่มเติมจากพระอุปัชฌาย์ ได้ 1 พรรษา จึงได้เริ่มออกธุดงค์ครั้งแรก เมื่ออายุได้ 16 ปี ในพรรษาที่ 2 นั้นเอง

ในการธุดงค์ครั้งแรกนั้น ท่านไปกับพระอาจารย์เมธี เดินเริ่มต้นจากบ้านข่าไปสามผง ผ่านบ้านวา ถึงกุดเรือนคำ ทะลุวานรนิวาส ไปจนถึงสว่างแดนดิน ได้รับอุบายธรรมจากครูอาจารย์ต่างๆ มากมาย ครั้งจะเข้าพรรษาในพรรษาที่ 2 นั้น ท่านได้จาริกไปยังภูลังกา เพื่อ ไปพบกับหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ในการจาริกขึ้นภูลังกาในสมัยนี้ก็ยากลำบากพอควรอยู่แล้ว ผู้ขึ้นภูลังกาจะต้องเตรียมอาหารและน้ำให้พอเพียง เพราะการขึ้นลงแสนจะยากลำบาก ในสมัยหลวงปู่ขึ้นภูลังกานั้น จะต้องเตรียมน้ำและอาหารให้เพียงพอทั้งพระและเณรให้ถึง 7 วัน แล้วจะมีโยมนำอาหารแห้งขึ้นมาส่งอีกครั้ง แสดงถึงความมุมานะอุตสาหะในการพยายามบำเพ็ญสมณะธรรมแบบเอาเป็นเอาตาย ไม่ตายด้วยตกภู ก็ตายด้วยตกหน้าผา ไม่ตายด้วยตกหน้าผาที่ภาวนา ก็ตายเพราะไม่มีของขบฉัน

ในการขึ้นภูลังกาเพื่อพบหลวงปู่วังนั้น ครั้งนั้นทำให้ท่านได้พบเพื่อนสหธรรมมิกเพิ่มขึ้นครั้งเป็นสามเณรด้วยกัน คือ สามเณรวัน (หลวงปู่วัน อุตตโม) และสามเณรคำพันธ์(พระจันโทปมาจารย์) ได้อยู่ร่วมกับหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ในการประพฤติธรรมอยู่กับหลวงปู่วังนั้น ท่านได้พาสามเณรออกเก็บยาสมุนไพรที่ภูลังกา ซึ่งเป็นสถานที่รวมว่านยาต่างๆ ทำให้หลวงปู่ได้มีความรู้ความสามารถในการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร จากการขึ้นภูลังกาครั้งนั้นด้วย

หลวงปู่อยู่บนภูลังการ่วมกับหลวงปู่วัง 5 พรรษา ท่านจึงได้กราบลาหลวงปู่วังคืนสู่สถานเดิม คือ บ้านข่า เพื่ออุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยพระอาจารย์บุญส่งพาท่านไปอุปสมบทที่บ้านสามผง มีพระสารภาณมุณี (หลวงปู่จันทร์ เขมิโย) เป็นพระอุปัชฌาย์

เมื่อบวชเป็นพระภิกษุ ท่านได้มาอยู่กับพระอาจารย์บุญส่ง 1 พรรษา หลังจากนั้นชาวบ้านบ้านโพนก่อมาอาราธนานิมนต์ท่านไปเป็นหลักอยู่ที่วัดป่าสันติธรรม จากนั้นท่านได้เดินทางไปปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ที่วัดศรีเทพประดิษฐาราม แล้วก็ปรึกษาหลวงปู่จันทร์ เรื่องการศึกษา หลวงปู่จันทร์ท่านได้แนะนำให้ลงไปศึกษาต่อที่กรุงเทพฯ โดยให้กลับไปลาโยมบิดามารดาที่บ้านให้เรียบร้อยเสียก่อน

เมื่อเล่าความประสงค์ให้โยมบิดามารดาฟังแล้ว โยมบิดาท่านจึงบอกว่า เรามีญาติผู้หนึ่ง ชื่อ ตื้อ ลูกลุงจารย์ปา เป็นลูกศิษย์อุปัชฌาย์คาน ว่าจะออกไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้ว หายไปหลายปีไม่ได้กลับมา อยากให้ออกตามหา ท่านจึงตั้งใจแน่วแน่ออกตามหา ลุงของท่าน คือ หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม เพื่อประพฤติปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่ตื้อ

ญาติของท่านในวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน เมื่อบวชแล้วก็ล้วนเดินทางตามหาหลวงปู่ตื้อ ไปทางภาคเหนือทั้งนั้น

ในหมู่ญาติและคณะที่ล่วงหน้าไปแล้วก็มี พระสังข์ สังกิจโจ พระกาวงค์ โอฑาตวัณโณ พระไท ฐานุตโต ซึ่งเดินทางไปก่อนแล้ว โดยท่านได้เดินทางไปสมทบอยู่ที่ป่าช้าข้างสวนลำไย ใกล้กับพระตำหนักเจ้าสบายของ พระราชชายาดารารัศมี หลังจากอยู่ปฏิบัติหลวงปู่ตื้อจนหลวงปู่ไว้วางใจแล้ว ท่านจึงออกเที่ยวจาริกไปทั่วภาคเหนือ พร้อมกับพระซึ่งเป็นญาติๆ ของท่าน

ในการเดินทางจาริกในทางภาคเหนือนั้น ในสมัยก่อนสัตว์ป่าสัตว์ดุร้ายอยู่มากมาย แต่ท่านก็ไม่ได้เกรงกลัว ภาวนาด้วยใจอาจหาญ

ลูกศิษย์หลวงปู่รูปหนึ่งที่อยู่ที่เชียงใหม่ เล่าให้ฟังว่า

“สมัยก่อนอยู่กับหลวงปู่ ก่อนสว่างมีเสียงเสือคำราม เรานิกลัวจนตัวสั่น พอเห็นหลวงปู่ท่านขี่เสือออกมาเอาบาตรวางบนหัวเสือ ชวนเราขี่เสือออกบิณฑบาตด้วย เราว่านิมนต์ครูจารย์เลยครับ ผมซิย่าน พอก่อนเข้าหมู่บ้านท่านก็ลงจากหลังเสือไปบิณฑบาต เสือมันก็รอท่านนะ พอเข้าชายป่าท่านก็ขี่เสือไป ที่ฉันอย่างนี้ทุกวันท่านไม่กลัว”

ครั้นปี 2514 ญาติโยมจากบ้านข่า ได้มานิมนต์หลวงปู่ตื้อกลับบ้านข่า ก่อนกลับหลวงปู่มีบัญชาให้หลวงปู่หนูบาลอยู่ช่วยการสร้างกุฏิและเสนาสนะ วัดป่าดาราภิรมย์ที่หลวงปู่กาวงค์สร้างทิ้งไว้ไม่แล้วเสร็จเพราะท่านได้มรณภาพก่อน หลังจากท่านได้ช่วยดำเนินงานก่อสร้างแล้วเสร็จ ท่านได้กลับไปช่วยหลวงปู่ไทอุปฐากหลวงปู่ตื้อที่บ้านข่า

เมื่อกลับบ้านข่าแล้ว หลวงปู่ท่านได้พาโยมแม่เข้าบวชเป็นแม่ชี จากนั้นอีก 6 ปี หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม ได้มรณภาพทามกลางความเศร้าโศกเสียใจขอบรรดาฆราวาสญาติโยม

พอสิ้นหลวงปู่แล้ว วัดอรัญวิเวก (บ้านข่า) ก็ได้ว่างเว้นเจ้าอาวาสลง ชาววัดและชาวบ้านต่างอาราธนานิมนต์ให้อยู่เป็นหลักชัย โดยหลวงปู่รับเป็นเจ้าอาวาสวัดอรัญญวิเวก (บ้านข่า) อีก 4 ปีต่อมา โยมมารดาของหลวงปู่ก็ได้เสียชีวิตลงในเพศแม่ชีนั้นเอง

เมื่อหลวงปู่จัดงานศพโยมมารดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกไปจำพรรษาที่วัดพระบาทภูวัว อ.เซกา จ.หนองคาย ท่านอยู่ที่พระบาทภูวัวอยู่ 5 พรรษา แล้วกลับมาวัดอรัญญวิเวกอีกครั้ง เพื่อจัดการงานศพโยมบิดาของหลวงปู่

หลังจากจัดงานศพโยมบิดาแล้ว ท่านได้ขอลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดอรัญญวิเวก (บ้านข่า) แล้วกลับไปพัฒนาวัดป่าสันติธรรม ที่บ้านโพนก่อ ต.นาคำ อ.ศรีสงคราม จ.นครพนม ท่านได้อยู่เป็นหลักชัยอยู่ที่บ้านโพนก่อจนล่วงวัยชรา

ตลอดระยะเวลาที่หลวงปู่บาลอยู่จำพรรษาที่วัดป่าสันติธรรม ท่านได้พาศิษยานุศิษย์และญาติโยมชาวบ้านโพนก่อร่วมกันบูรณะวัดป่าสันติธรรมให้เจริญรุ่งเรือง จนกระทั่งถึงปี 2549 สุขภาพของท่านทรุดโทรมอย่างหนัก เดินไปมาลำบากประกอบกับท่านเข้าสู่วัยชราภาพ ศิษยานุศิษย์และลูกหลานได้นิมนต์ท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลหลายครั้งแต่อาการมีแต่ทรงกับทรุด

พระครูวิมลศีลโสภณ (พระอาจารย์สำเนา ธมฺมสีโล) เจ้าคณะอำเภอศรีสงคราม นาหว้า บ้านแพง นาทม องค์ปัจจุบันซึ่งเป็นหลานพร้อมด้วยศิษย์และลูกหลานจากบ้านข่า จึงได้กราบนิมนต์ท่านให้มาจำพรรษาที่วัดอรัญญวิเวกเพื่อสะดวกในการอุปฐากดูแล เพราะท่านมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับไต จึงทำให้สุขภาพทรุดโทรมยิ่งขึ้น

พระอาจารย์หนุ่มและพระอาจารย์คงและลูกศิษย์อีกหลายองค์พร้อมลูกหลานเคยนำท่านไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น อาการก็เพียงทุเลาเบาบางเท่านั้นในวันที่ 2 เม.ย. 2552 พระอุปฐากหลวงปู่ได้เข้าปฏิบัติรับใช้ตามปกติ

หลวงปู่บาลได้ปรารภว่า “ได้ทำให้ลูกหลานลำบากยุ่งยากมานานแล้ว อีก 23 วันก็จะตาย อดเอาเน้อ” แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจในคำพูดของท่าน

ในวันที่ 4 เม.ย. 2552 ได้สังเกตว่าท่านมีความสดชื่นเป็นพิเศษ พูดจาหยอกล้อกับลูกศิษย์ ลูกหลาน และญาติโยมที่ไปเยี่ยมด้วยอารมณ์ดี จนกระทั่งตอนเช้าวันที่ 5 เม.ย. 2552 หลังจากที่ฉันเช้าเสร็จ ท่านมีอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อศิษย์นำท่านเข้าสู่ที่จำวัดและสังเกตว่าท่านเริ่มหายใจลำบาก ประมาณไม่ถึง 20 นาที ท่านก็มรณภาพด้วยอาการสงบในเวลา 08.30 นาที วันที่ 5 เม.ย. 2552 สิริอายุได้ 78 ปี 58 พรรษา

ข่าวล่าสุด

เสนอพรรคการเมือง 3 ทางออก ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ต้อง 'ห้ามซื้อขาย' เด็ดขาด