มหาวิทยาลัยชีวิตสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
รู้กันนานพอควร และรู้กันกว้างขวางว่าชุมชนท้องถิ่นของไทยนั้น คงต้องกลับไปพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ไม่อาจรอคอยความช่วยเหลือจากนอกชุมชนหรือจากรัฐได้ เพราะไม่มีความแน่นอน
รู้กันนานพอควร และรู้กันกว้างขวางว่าชุมชนท้องถิ่นของไทยนั้น คงต้องกลับไปพึ่งพาตนเองให้มากที่สุด ไม่อาจรอคอยความช่วยเหลือจากนอกชุมชนหรือจากรัฐได้ เพราะไม่มีความแน่นอน
การพึ่งพาตนเองของชุมชน ต้องสืบค้นทุนที่มีในท้องถิ่น ทั้งทุนทรัพยากร มีที่ดิน มีป่าละเมาะ มีน้ำดิบ มีทะเล มีชายฝั่ง ฯลฯ เอามาขึ้นบัญชีชุมชนที่ใต้ถุนศาลาไว้
จากนั้นสืบค้นทุนทางสังคม ว่าในชุมชนเคยมีประเพณีที่ชาวชุมชนออกมาร่วมกิจกรรมกันบ่อยแค่ไหน ยังมีประเพณีลงแขกช่วยเหลือกันอยู่หรือไม่ทอดผ้าป่า ทำนาผสมผสานกันไหม
นี่ก็เอามาขึ้นบัญชีทุนไว้
สุดท้ายก็ขุดคุ้ยหาทุนทางปัญญาว่ามีเกร็ด มีเคล็ดดีๆ ที่คนแก่รู้แต่ลูกหลานไม่อยู่ เลยไม่ได้รับการถ่ายทอดอะไรอีกบ้าง บางชุมชนมีวิธีปีนต้นตาล ต้นมะพร้าว บ้างก็รู้วิธีจับงูเห่า บ้างก็เผาถ่านแถมได้น้ำส้มควันไม้ใช้ไล่แมลงได้ผลดี เป็นต้น
พอมีทุนบนกระดานแล้ว ลองสำรวจว่าทุนมนุษย์ที่พอจะตามกันเจอมีอีกเท่าไหร่ อายุเท่าใด หนุ่มสาวหลายรายกำลังลำบากอยู่กับชีวิตรับจ้างในเมือง อยากกลับบ้านนอก แต่กลัวไม่มีอะไรทำ ไม่มีอะไรกิน นี่ก็ทุนเหมือนกัน
เอาทุนทั้งสี่มาบวกกันเฉยๆ ส่วนใหญ่ไม่อาจเห็นผล ถ้าไม่มี “ความรู้” “ความรักที่จะรู้” และ “เทคนิคความหลากหลายในการจัดการ” มาผสม กล่าวคือมีหลักสูตรปรับปรุงชีวิตจริงสำหรับชุมชนนั้นๆ
ถ้าใช้หลักสูตรแบบตายตัว เรียนเหมือนกันหมด สอบพร้อมกันหมด และสอบเหมือนกันหมด ย่อม“ไม่เวิร์ก” กับชีวิตจริง
ชีวิตจริง ชุมชนมีทรัพยากรไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน หลักสูตรซ่อมและสร้างคืนชีวิตพึ่งตนเองได้ของชุมชนจึงอาศัยปฏิทินงบประมาณราชการไม่ไหวใช้ฤดูภาษีของบริษัทเอกชนก็ไม่ไหว ตอนมาก็ล้นหลาม ตอนหมดก็แห้งเหือด เหมือนการจัดการน้ำของบ้านเรายังไงยังงั้น
แต่กระนั้น การเอาทุนที่ขาดวิ่นมาเทรวมแล้วผสมด้วยความรู้ ความรัก และความหลากหลายของเทคนิคการจัดการนั้น มีคนลองทำแล้ว และไม่ต้องสร้างอาคารติดลิฟต์ ไม่มีรั้วมหาวิทยาลัยไว้กันใคร
ปรากฏว่าได้ผลดี และบัดนี้มีผู้เรียน (ซึ่งก็คือคนในแต่ละชุมชนนั่นแหละ) 8,000 คน กระจายใน 46 จังหวัด 159 ชุมชนท้องถิ่นทั่วไทย
เรียกว่า “สถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน” รับผู้จบ ม.ปลายมาแล้ว อายุไม่เกี่ยง แต่รักจะ “อยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกินในท้องถิ่นตน” ก็สมัครเรียนได้
ไม่ได้เรียนฟรีนะครับ เพราะอะไรฟรี คนจะทิ้งมันไปง่าย
เก็บค่าเล่าเรียนครับ ผลที่ได้คือ คนเรียนเรียนไปทำกินไปโดยใส่ความรู้ที่จำเป็น ได้แลกเปลี่ยนความรู้ ได้ฟื้นฟูการพึ่งพากันเองในชุมชน ยิ่งผ่านไปจะพบว่าตัวเองดีขึ้น ชุมชนดีขึ้น
เป็นการศึกษาที่ไม่ทิ้งถิ่นฐาน ไม่ทิ้งชีวิต คือ เรียนรู้และมีสติอยู่กับสัมมาอาชีวะของตัวเองในพื้นที่มีเพื่อนร่วมชั้นที่จะยังอยู่ร่วมกันไปหลังจบอีกต่างหาก
ข้อจำกัดคือ พวกเรียนปีแรกมักติดขัดด้านทุนการศึกษา จะกู้ กยศ. กู้ กรอ.ก็ไม่ได้ เพราะไม่เข้าเกณฑ์ ครั้นจะกู้แบงก์ก็มีข้อจำกัดและดอกเบี้ยสูง
ศ.นพ.เกษม วัฒนชัย, ศ.พจน์ สะเพียรชัย,ดร.เสรี พงศ์พิศ, คุณนวพร เรืองสกุล, คุณหญิงดร.กษมา วรวรรณ ณ อยุธยา, คุณเอ็นนู ซื่อสุวรรณดร.วีระชัย เตชะวิจิตร์, ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ และผมร่วมกับอีกหลายท่านที่เอ่ยชื่อไม่หมด จึงร่วมกันเป็นกรรมการกองทุนมหาวิทยาลัยชีวิต กำลังระดมทุนไปให้ผู้เรียนที่อยากอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีและมีกินในท้องถิ่นตนได้ขยายตัวต่อไป ไม่ต้องพึ่งพาแต่รัฐหรือปิดถนน เทเงาะ เทลำไย เทลองกอง ราวกับเป็นเทศกาลประจำปี! n
ติดตามสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน
ได้ที่ www.life.ac.th


