โลกจับตาจีนลุยกิจการข้ามชาติ ผวามังกรแผ่อำนาจในคราบเอกชน
ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันล่าสุดจากสภาข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย สำหรับการยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า
ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันล่าสุดจากสภาข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย สำหรับการยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า
โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา
ถือเป็นอีกหนึ่งหลักฐานยืนยันล่าสุดจากสภาข่าวกรองแห่งชาติสหรัฐที่เรียกเสียงฮือฮาได้ไม่น้อย สำหรับการยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ทิศทางของโลกนับต่อจากนี้จะอยู่ภายใต้การชี้นำของภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้การนำของพญามังกรแห่งตะวันออกอย่างประเทศจีน
พูดอีกทางหนึ่ง แนวโน้มที่คาดเดาได้ไม่ยากของโลกในอนาคตก็คือ ภูมิภาคเอเชียที่นำโดยจีน จะก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจและความมั่นคง โดยมีแววว่าจะเหนือกว่าภูมิภาคยุโรปและอเมริกาเหนือ สาเหตุจากการมีสัดส่วนด้านผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) จำนวนประชากร การค้าการลงทุน ตลอดจนค่าใช้จ่ายทางทหารสูงกว่า
ทว่า แม้การคาดการณ์ข้างต้นจะไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่เหนือความคาดหมายของนักวิเคราะห์ นักลงทุน หรือผู้คร่ำหวอดในแวดวงเศรษฐกิจโลกอีกต่อไป แต่กระนั้น ผู้เชี่ยวชาญอีกส่วนหนึ่ง ตลอดจนบรรดารัฐบาลของประเทศต่างๆ ก็อดที่จะรู้สึกวิตกกังวลกับอำนาจอิทธิพลของเอเชีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งของประเทศจีน ที่กำลังคืบคลานแผ่ขยายเข้ามาภายในอาณาเขตของตนเอง
เพราะอิทธิพลทางธุรกิจของจีนที่เข้ามามักจะมีประเด็นอื่น เช่น อำนาจต่อรองทางการเมือง แถมพ่วงเข้ามาด้วย
ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่งของจีนเริ่มขยับขยายสถานะของตนเองกันมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีให้หลังที่ผ่านมา โดยเปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตและผู้ส่งออก มาเป็นนักลงทุนและผู้ซื้อคนสำคัญ
เห็นได้จากกรณีบริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติจีนหลายบริษัทเดินหน้าลงนามทำข้อตกลงสัญญาซื้อขายทางธุรกิจหลากหลายฉบับกับหลากหลายประเทศ
ไล่เรียงตั้งแต่การเข้าซื้อกิจการของบรรดาสายการบินในแถบอเมริกาเหนือกว่า 200 สาย การลงทุนในโครงการเหมืองทองแดงในพม่า การดูแลสัมปทานเหมืองทองแดงในแซมเบีย และการซื้อฟาร์มนมในนิวซีแลนด์
หรือล่าสุด การลงนามซื้อกิจการพลังงานบริษัท เน็กซัน ประเทศแคนาดา ซึ่งนับได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่บริษัทสัญชาติจีนเคยซื้อกิจการในต่างแดนมา ในวงเงินสูงถึง 1.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.5 แสนล้านบาท) โดยบริษัทจีน ซีนุก และข้อตกลงการซื้อหุ้นก๊าซธรรมชาติในสังกัดบริษัท บีเอชพี บิลลิตัน ของบริษัท ปิโตรไชนา ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของจีนด้วยวงเงินดีลสูงถึง 1,630 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.89 หมื่นล้านบาท)
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักแสดงความเห็นว่า นอกจากจะเป็นการยกระดับปรับสถานะของบริษัทตามนโยบายส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศของรัฐบาลจีนแล้ว มองในอีกแง่หนึ่งการกระทำดังกล่าวก็คือการเสริมสร้างหลักประกันด้านวัตถุดิบและแหล่งพลังงาน เพื่อให้แน่ใจว่า การผลิตสินค้าและบริการใดๆ ของบริษัทสัญชาติจีนเหล่านี้ต่อจากนี้ไปจะไม่สะดุดหรือติดขัด หรือร้ายแรงกว่านั้นคือตกเป็นเหยื่อทางการเมือง
เรียกได้ว่าการรุกคืบเข้าซื้อกิจการต่างๆ หรือเข้าครอบครองหุ้นในบริษัทต่างชาติที่มีความสำคัญกับสายการผลิต เช่น แร่เหล็ก ทองแดง หรือน้ำมัน ก็เหมือนกับการทำสัญญารับประกันให้การดำเนินกิจการของบริษัทจีนมีแต่ความราบรื่น
ทั้งนี้ ข้อมูลจากสเควียร์ แซนเดอร์ บริษัทด้านกฎหมาย และเมอร์เจอร์ มาร์เก็ต บริษัทให้บริการด้านข้อมูลระบุชัดว่า ในช่วงระหว่างปี 2548-2554 จำนวนการซื้อกิจการต่างชาติของจีนเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัวมาอยู่ที่ 177 แห่ง และเพิ่มขึ้นเป็น 5 เท่า เมื่อคิดจากมูลค่าตลาด หรืออยู่ที่ 6.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.89 ล้านล้านบาท)
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจากบรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนจะได้รับการตอบรับและต้อนรับในด้านบวกเสมอไปจากประเทศเจ้าบ้าน แม้จะมีเหตุผลที่ดีมารองรับ เช่น ว่าเป็นการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่จะช่วยให้ประคับประคองรอดพ้นจากสภาวะซบเซาที่เป็นอยู่ทั่วโลกในปัจจุบัน
เหตุผลแรกสุด และอาจจะเป็นเหตุผลสำคัญหนึ่งเดียวที่ทำให้บริษัทสัญชาติจีนไม่ค่อยเป็นที่อ้าแขนรับเท่าไรนัก กระทั่งกลายเป็นประเด็นจุดชนวนโต้แย้งถกเถียงของฝ่ายต่างๆ ภายในประเทศ คือ ความกังขาในอำนาจการบริหารควบคุมดูแลกิจการของบริษัทของผู้บริหาร
หรือกล่าวอีกทางหนึ่งก็คือ ความเป็นอิสระของบรรดาบริษัทองค์กรเอกชนนั้นๆ ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจภายในประเทศตน
ต้องยอมรับว่าบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งแดนพญามังกรเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนมีความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลจีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ โดยหากไม่ใช่ว่าได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือด้านการเงินจากรัฐบาลจีน ก็มักจะเป็นในด้านนโยบายต่างๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้บริษัทเหล่านั้นทำงานให้ลุล่วงได้โดยง่าย
หรือไม่เช่นนั้น รัฐบาลจีนก็อยู่ในสถานะเจ้าของที่มีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว เพียงแค่ไม่ได้ปรากฏเป็นลายลักษณ์บันทึกไว้อย่างชัดเจน แต่เป็นอันรู้กันในหมู่ผู้บริหารดำเนินกิจการ
คำถามที่ตามมาก็คือ บรรดารัฐบาลเจ้าของประเทศจะแน่ใจได้อย่างไรว่า ผู้ประกอบการเอกชนจากจีนที่เข้ามาจะไม่มีประเด็นหรือวัตถุประสงค์อื่นใดแอบแฝง หรืออยู่ในสถานะที่สื่อจากโลกตะวันตกบางประเทศกล่าวหาว่าเป็นนักล่าหรือสายลับของรัฐบาลจีน หรือกระทั่งเป็นการขยายอำนาจของรัฐบาลจีนเอง
ความกังขาดังกล่าวส่งผลให้ในที่สุด บริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติของจีนหลายแห่งได้รับการบอกปัด หรือเจออุปสรรคขัดขวางชิ้นใหญ่ไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งๆ ที่สามารถจะลงทุน หรือผลิตสินค้าและบริการได้ไม่น้อยหน้าบริษัทอื่นๆ ทั้งจากในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน หรือจากซีกโลกตะวันตก
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจน คือกรณีของผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สื่อสารโทรคมนาคมของจีนอย่างหัวเว่ย และแซดทีอี ที่เกือบจะได้เซ็นสัญญาลงนามข้อตกลงทางการค้าการผลิตและการให้บริการกับหน่วยงานในเครือรัฐบาลสหรัฐ แต่กลับเจอศาลสหรัฐสั่งระงับการดำเนินการดังกล่าว เนื่องจากทั้งหัวเว่ยและแซดทีอีล้วนมีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัฐบาลจีนจนทำให้รัฐบาลสหรัฐเกรงว่า บริษัททั้งสองแห่งจะมีอีกหนึ่งตำแหน่งอย่างจารชนสายลับพ่วงเข้ามาด้วย
นอกจากนี้ ยังไม่นับรวมถึงการประท้วงต่อต้านโครงการหลายแห่งของบริษัทจีนจากคนในพื้นที่ เช่น โครงการเหมืองทองแดงในพม่า หรือในแซมเบีย อันสืบเนื่องมาจากความไม่ไว้วางใจในระดับมาตรฐานการบริหารงานของบริษัทจีน
พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ ความกังขาในคุณภาพและศักยภาพในการบริหารงาน เช่น การให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม และการเคารพสิทธิของแรงงาน
โจชัว ไอเซนแมน นักวิชาการอาวุโสด้านจีนศึกษา ในสังกัดสภานโยบายต่างประเทศของสหรัฐ กล่าวว่า การที่สถานะของบริษัทจีนยังคงมีประเด็นให้ข้องใจและไม่สามารถแยกความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลจีนกับผู้บริหารได้อย่างชัดเจนเด็ดขาด บริษัทจีนหลายแห่งที่ดำเนินการแผ่ขยายอิทธิพลเข้าไปในพื้นที่กำลังพัฒนาหรือพัฒนาแล้ว จึงได้รับกระแสการต่อต้านจากประเทศท้องถิ่นนั้นๆ พอสมควร
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งสรุปตรงกันว่า สิ่งที่จีนสมควรลงมือกระทำต่อจากนี้ ไม่ใช่การเดินหน้าเคลื่อนย้ายการลงทุนมายังประเทศต่างๆ นอกบ้านแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังต้องรวมถึงการหามาตรการที่จะแสดงให้เห็นถึงอิสระในการบริหารงาน และความโปร่งใสในการดำเนินกิจการพ่วงเข้ามาด้วย
และเมื่อใดก็ตามที่บริษัทของ “จีน” ชัดเจนหนักแน่นเพียงพอแล้ว เมื่อนั้นบรรดาประเทศต่างๆ ย่อมต้อนรับจีนได้ไม่ยาก เหมือนเช่นที่อ้าแขนรับโลกตะวันตก


