posttoday

การสร้างความยุติธรรมในสังคม

28 พฤศจิกายน 2555

“กฎหมายนั้นไม่ใช่ความยุติธรรม เป็นเพียงแต่เครื่องมืออย่างหนึ่ง สำหรับใช้ในการอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายไปใช้เพื่อการรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อการรักษาตัวกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินก็มิได้อยู่ในวงแคบ อยู่เพียงแต่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายไปถึงศีลธรรม จรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็นจริงด้วย”

“กฎหมายนั้นไม่ใช่ความยุติธรรม เป็นเพียงแต่เครื่องมืออย่างหนึ่ง สำหรับใช้ในการอำนวยความยุติธรรมเท่านั้น การใช้กฎหมายจึงต้องมุ่งหมายไปใช้เพื่อการรักษาความยุติธรรม ไม่ใช่เพื่อการรักษาตัวกฎหมายเอง และการรักษาความยุติธรรมในแผ่นดินก็มิได้อยู่ในวงแคบ อยู่เพียงแต่ขอบเขตของกฎหมาย หากต้องขยายไปถึงศีลธรรม จรรยา ตลอดจนเหตุและผลตามความเป็นจริงด้วย”

(พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานไว้ในเนติบัณฑิตสภา เมื่อเดือน ต.ค. 2524)

พระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงชี้ให้เห็นว่า กฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือของกระบวนการยุติธรรมและการมีกฎหมาย การรักษากฎหมาย การออกกฎหมาย ก็ต้องมีวัตถุประสงค์ในการใช้กฎหมายเพื่อการรักษาความยุติธรรมในสังคม ฉะนั้น จำเป็นยิ่งที่สังคมไทยจะต้องสร้างสิ่งที่เรียกว่า “ความยุติธรรมที่ยั่งยืน” ซึ่งก็หมายถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ และต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม ที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืนจะต้องดำรงความยุติธรรมเพื่อความผาสุกของประชาชน และ “ต้องไม่กินตัวเอง” กล่าวคือ การที่ระบบหรือกลไกในกระบวนการยุติธรรมนั้น ต้องไม่ทำให้คนเสื่อมศรัทธาในกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันต้องทำให้คนเชื่อมั่นในกระบวนการ ว่าเป็นไปเพื่อยังประโยชน์แก่ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติ และไม่สามารถมีกระบวนการ หรือกลไกใดๆ มาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้

ดังนั้น ความยุติธรรมที่ว่าจะต้องอยู่บนหลักจริยธรรม ศีลธรรม และจรรยาของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติที่เกี่ยวข้องในแต่ละกระบวนการ ซึ่งเป็นสายธารของกระบวนการยุติธรรมและสิ่งที่จะช่วยสร้างความเป็นสังคมนิติรัฐที่ดีที่สุด คือ กลไกของสังคมในการเฝ้าระวังด้านกระบวนการยุติธรรม หมายความว่าเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วน ทุกคนที่จะร่วมสร้างความยุติธรรมที่ยั่งยืนในสังคมไทย

ตามหลักสากลแล้ว การที่จะกล่าวว่า สังคมหรือประเทศใดมีความเป็นนิติรัฐนั้น หน่วยงานที่ชื่อว่า World Justice Project Organization จะพิจารณาจากตัวชี้วัดความเป็นนิติรัฐ ซึ่งประกอบด้วย 10 ตัวชี้วัด

1.การจำกัดขอบเขตของอำนาจรัฐ 2.การไม่ฉ้อราษฎรบังหลวง 3.กฎหมายมีความชัดเจนเผยแพร่ต่อสาธารณะและมีความมั่นคง 4.สังคมมีกฎกติกา มีความมั่นคงปลอดภัย 5.สิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนได้รับการดูแล 6.รัฐบาลตรวจสอบได้ โปร่งใส 7.การบังคับใช้อย่างเสมอภาคและจริงจัง 8.การเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมของประชาชนนั้นมีโอกาสที่ใกล้เคียงกัน 9.ระบบยุติธรรมที่มีประสิทธิภาพ 10.ระบบยุติธรรมที่มีทางเลือกมีประสิทธิภาพ

ทั้ง 10 ตัวชี้วัดข้างต้น จึงเป็นแนวทางในการก้าวสู่การเป็นสังคมนิติรัฐ หรือรัฐที่มีกฎหมาย หากแต่ในเบื้องแรก สังคมไทยจะต้องกลับมาพิจารณาถึงความสำคัญและความจำเป็นในการสร้างสังคมนิติรัฐ สำหรับแนวทางในการสร้างความยุติธรรมที่ยั่งยืนในสังคมไทยนั้น

ประการแรก ต้องให้ความสำคัญกับการส่งเสริมค่านิยมของสังคมในหลายเรื่อง ได้แก่ ค่านิยมเรื่องการเคารพกฎหมาย ความซื่อสัตย์สุจริต การมีศีลธรรม จริยธรรม การเคารพเหตุผล และการยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม เป็นต้น

ค่านิยมพื้นฐานที่จะทำให้สังคมไทยเป็นสังคมแห่งความยุติธรรม ดังนั้น ต้องส่งเสริมให้ค่านิยมเหล่านี้เป็นค่านิยมหลักในสังคม

ประการที่สอง ในส่วนของหน่วยงานและผู้ปฏิบัติงานที่อยู่ในวงงาน หรือสายธารแห่งกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่กระบวนการจับกุมปราบปราม ลงโทษ กระบวนการการพิจารณา และกระบวนการปลดปล่อย จะต้องปฏิบัติงานด้วยความซื่อตรง ยึดมั่นในหลักกฎหมาย และต้องปฏิบัติโดยไม่เลือกปฏิบัติ สร้างความเท่าเทียมไม่มีหลายมาตรฐาน บนพื้นฐานของเมตตาธรรม คุณธรรม และศีลธรรม

ประการที่สาม การปรับกลไกในการทำงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมให้สามารถทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

อาทิ หากพิจารณาตัวตัวเลขสถิติของผู้กระทำผิดเป็นครั้งที่สอง จะพบว่ามีจำนวนผู้กระทำผิดซ้ำในสถานพินิจเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของกระบวนการฟื้นฟู และเตรียมความพร้อมของผู้ต้องขังก่อนออกสู่สังคม

ประการที่สี่ สถาบันทางสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถาบันศาสนา สถาบันครอบครัว และชุมชนเป็นต้นทุนทางสังคมที่เข้มแข้ง และสามารถทำหน้าที่ฟื้นฟู บำบัดและเยียวยาจิตใจของผู้ที่พ้นโทษ ขณะเดียวกันก็สามารถทำหน้าที่เฝ้าระวังและป้องกันไม่ให้กลุ่มเสี่ยงกลายเป็นผู้กระทำผิดต่อไป

ประการที่ห้า จะสร้างระบบกระบวนการยุติธรรมนั้น จะต้องปฏิรูปสังคมและต้องทำให้ประชาชนสามารถรับรู้และเข้าใจได้ถึงความถูกต้องและกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันกระบวนยุติธรรมต้องสามารถอธิบายข้อเท็จจริงต่างๆ ต่อสังคมได้เช่นกัน

ประการที่หก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับบริบทด้านด้านสังคม สิ่งแวดล้อม การเมือง และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป เพราะกฎหมายที่ดีต้องมีการปรับตัวในเชิงสาระสำคัญของข้อกฎหมาย เพื่อให้กฎหมายมีความทันสมัยและเหมาะสมกับสภาพการณ์

ถือเป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่จะต้องเร่งสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมยุติธรรมที่ยั่งยืน เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมมีภูมิต้านทานไม่หวั่นไหวต่อแรงกดดัน ต้องมั่นคง ไม่หวั่นไหวต่อความเปลี่ยนแปลง และที่สำคัญกระบวนการยุติธรรมต้องเป็นที่พึ่งของสังคมได้ กระบวนการยุติธรรมที่ยั่งยืนต้องเป็นกระบวนการที่มีประสิทธิภาพ คือ เป็นกระบวนการที่ตอบสนองต่อคนที่เกี่ยวข้องและสร้างความยุติธรรมได้โดยถูกต้องและรวดเร็ว เพราะ “ความยุติธรรมที่ล่าช้า คือ ความไม่ยุติธรรม”

ข่าวล่าสุด

ล้ำไปอีกขั้น เสื้อกั๊ก AI ช่วยผู้ป่วยหลอดเลือดสมองขยับแขน