พระสงฆ์ขอความสามัคคีคนไทย แก้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้
ขออย่าให้ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยเลย เจ้าประคุณเอ๋ย เป็นเสียงอุทานจากใจของพระมหาเถระวัย 82 ปี
โดย...สมาน สุดโต
ขออย่าให้ภาพเช่นนี้เกิดขึ้นในเมืองไทยเลย เจ้าประคุณเอ๋ย เป็นเสียงอุทานจากใจของพระมหาเถระวัย 82 ปี พระธรรมกวี (ลือชัย) เจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส หลังจากเห็นภาพความเสียหายของวัดในบังกลาเทศ ที่ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย นำมาจัดแสดงในงานมอบปัจจัย ไตรจีวร และเครื่องอุปโภคบริโภคให้กับพระสงฆ์ชาวบังกลาเทศ ผ่านพระสงฆ์บังกลาเทศที่ศึกษาในประเทศไทย เพื่อนำไปช่วยวัดและพระสงฆ์ที่ถูกมุสลิมหัวรุนแรงประมาณ 2 หมื่นคนเผาทำลายทุกอย่างในวัดที่บังกลาเทศ เมื่อวันที่ 29 ก.ย. พ.ศ. 2555 ซึ่งมีวัดจำนวน 27 วัดถูกเผาทำลาย พระสงฆ์ชาวบังกลาเทศ 1 รูปถูกสังหาร ในการนี้ศูนย์พิทักษ์ฯ นิมนต์พระธรรมกวีมาเป็นประธานในการส่งมอบปัจจัย และสิ่งของต่างๆ ที่ชาวพุทธในไทยร่วมใจกันบริจาค โดยมีปัจจัยประมาณ 1 ล้านบาท (หนึ่งล้านบาท) สิ่งของต่างๆ ประมาณ 1 ตู้คอนเทนเนอร์
เห็นภาพโหดแล้วปวดร้าว
พระธรรมกวี (ฤาชัย) พูดกับผู้เขียนว่า เห็นภาพหฤโหดที่คนต่างศาสนาทำแก่ชาวพุทธที่บังกลาเทศแล้วรู้สึกปวดร้าว ไม่อยากเห็นภาพเช่นนั้นเกิดในเมืองไทย เพราะท่านเป็นพระที่มีพื้นเพอยู่ในภาคใต้ (เกิดที่สงขลา แต่เติบโตที่นราธิวาส) ได้ยินได้ฟัง ได้เห็นข่าวคนไทยชาวพุทธที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ถูกฆ่า ถูกทำร้ายก็รู้สึกเจ็บปวดมากสุดจะพรรณนาอยู่แล้ว
พระธรรมกวี เติบโตและเรียนหนังสือจบ ม.3 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ที่ตันหยงมัส จ.นราธิวาส จึงมีเพื่อนมากมาย รวมทั้งคนที่นับถืออิสลาม ไปมาหาสู่กัน ช่วยเหลือกัน ฉันพี่น้อง โดยไม่มีอะไรมาขวางกั้น แต่ปัจจุบัน บรรยากาศนั้นหายไปหมดสิ้น เมื่อท่านเดินทางไปช่วยงานศพญาติที่ตันหยงมัส ไม่มีบรรยากาศเก่าในอดีต เช่นจะหาร้านค้าคนไทยขายเครื่องดื่มเพื่อหาซื้อมาดื่มดับกระหายก็หาไม่ได้
ท่านมาอยู่กรุงเทพฯ นาน แต่ความรู้สึกยังผูกพันกับท้องถิ่น จึงเสียดายบรรยากาศที่หายไป ท่านบอกว่าได้พบกับพระภิกษุที่อยู่สู้กับความรุนแรงต่างๆ ใน 3 จังหวัดภาคใต้ ที่เข้ามากราบและกอดพร้อมกับพูดว่า เป็นพระอยู่กรุงเทพฯ สบายดีจัง คำพูดนี้ทำให้ท่านรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจ เพราะตัวท่านก็เจ็บปวดเหมือนกับพระที่อยู่ที่นั่นเช่นกัน เมื่อเห็นภาพในบังกลาเทศ จึงพูดจากใจด้วยเสียงดัง หลังจากอนุโมทนาว่า ขออย่าให้ภาพนี้เกิดในเมืองไทยเลย เจ้าประคุณ
พระเถระ 2 รูป เล่าความจริง
พระสังฆาธิการ 2 รูป พระราชวราจารย์ แห่งวัดนพวงศาราม เจ้าคณะจังหวัดปัตตานี และพระครูศรีจริยาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดตานีนรสโมสร รองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี เล่าถึงสถานการณ์ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในวันฉลอง 10 ปี ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่วัดราชาธิวาส เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2555 ผ่านรายการ DDTV ซึ่งขอสรุปมาดังนี้
พระราชวราจารย์ เคยอยู่ที่วัดราชผาติการาม 40 กว่าปี ก่อนที่ได้รับมอบหมายจากคณะสงฆ์ (ธรรมยุต) ให้ไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดปัตตานี (ธรรมยุต) เมื่อ พ.ศ. 2549 บอกว่าปัญหาหลักที่ภาคใต้ มีสาเหตุมาจาก 1.เรื่องต้องการแบ่งแยกดินแดน 2.เรื่องศาสนา 3.ปัญหาใหญ่พูดกันอย่างไม่เกรงใจคือปัญหาบ้านเมือง ปัญหาการคอร์รัปชัน ปัญหาเศรษฐกิจ ยาเสพติด ซึ่งอาจเป็นชนวนให้เกิดปัญหาใหญ่นี้ขึ้น
ปะนาเระเหลือชาวพุทธ 100 คน
เรื่องขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ใช่เพิ่งเกิดในปัจจุบัน แต่เกิดมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 และรัชกาลที่ 2 เพียงแต่ว่าฝ่ายบ้านเมืองสมัยนั้นปฏิบัติการอย่างเฉียบขาด แต่อะลุ้มอล่วย ปัญหาจึงสงบเรื่อยมา จนกระทั่งมาถึง พ.ศ. 2547 เหตุการณ์รุนแรงขึ้น เมื่อมีการปล้นปืนที่ จ.นราธิวาส 300 กว่ากระบอก และทำร้ายพระภิกษุ สามเณร ขณะกำลังออกบิณฑบาต ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ท่านบอกว่าช่วงที่ท่านเป็นพระภิกษุสามเณรอยู่ในจังหวัดชายแดนในอดีต ไม่เคยพบกับเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ช่วงนั้นผู้คนในท้องถิ่นอยู่กันแบบพี่แบบน้อง แม้จะนับถือศาสนาต่างกัน แต่ดำเนินกิจการร่วมกันไปด้วยความเรียบร้อย ด้วยความเห็นอกเห็นใจ และความสามัคคี
แต่ในปัจจุบันกลับกลายไป เช่น อ.ปะนาเระ ปัจจุบันมีชาวพุทธเหลือไม่ถึง 100 คน จากเดิมที่มีประมาณ 2 หมื่นคน ไม่ต้องถามว่าเพราะอะไร เพราะที่เหลือ 100 คนนั้นเข้าตลาดไม่ได้ด้วย
ปัญหามีหลากหลาย
พระปลัดณรงค์ฤทธิ์ อุปรักขิโต ซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ DDTV นิมนต์พระครูศรีจริยาภรณ์ ให้พูดในเรื่องเดียวกัน ในฐานะที่เป็นคนที่เกิดและอยู่ในพื้นที่ พระครูศรีจริยาภรณ์ บอกว่า ศาสนาเป็นสาเหตุอันหนึ่ง อาจเป็นสาเหตุหลักเลยก็ว่าได้ เพราะเกิดจากความรู้สึกว่า ศาสนาพุทธเข้าไปครอบงำพื้นที่ มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนในพื้นที่ ศาสนาอื่นมีประชากรมาก ศาสนาพุทธมีประชากรน้อย แต่มีอำนาจในการบริหารและการปกครองบ้านเมือง เป็นความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จึงมีการปลุกระดมว่ารัฐไทย รัฐที่มีผู้นับถือพุทธรุกราน รังแก และใช้ความรุนแรงกับคนในศาสนาอื่น ซึ่งไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะความอยุติธรรม ไม่ใช่มีเฉพาะคนต่างศาสนาเท่านั้น แม้แต่คนพุทธเองก็ไม่ค่อยได้รับความเป็นธรรมเช่นกัน ใครไม่รู้หนังสือ หรือทำตัวมีปัญหามักโดนกลั่นแกล้งเสมอ
ท่านยกตัวอย่างครอบครัวของท่านที่มีโยมพ่อเป็นจีน แต่แม่เป็นไทย ก็เคยได้รับความไม่เป็นธรรมช่วงที่โจรจีนคอมมิวนิสต์มีอิทธิพล เพราะเจ้าหน้าที่มักจะกล่าวหาว่าโยมพ่อซึ่งเป็นจีนเป็นสายให้โจรจีน แต่โชคดีที่โยมเป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านจึงรอดตัวมาหลายครั้งหลายหน
ถามว่าเมื่อปัญหาอยู่ที่เจ้าหน้าที่ไม่สุจริต ไม่ยุติธรรม แต่ทำไมกลุ่มที่สร้างปัญหาจึงโยงศาสนามาเกี่ยวข้อง พระครูรองเจ้าคณะจังหวัดปัตตานีตอบว่า ศาสนาเป็นจุดที่อ่อนไหวที่สุด เป็นจุดที่เรียกแขกให้เข้ามาง่าย สร้างมวลชนได้ง่ายกว่าเรื่องอื่นๆ เพราะความต่างทางวัฒนธรรม ประเพณี สามารถเรียกมวลชนได้เร็วมาก
นักรบมีจริง
ถามว่าทำไมแก้ปัญหาไม่ได้ พระครูตอบว่า เขามีกองกำลังเป็นนักรบ มีกองกำลังที่สนับสนุนในฝ่ายการเมือง ทั้งการเมืองท้องถิ่น และในระบบราชการ เขามีทุกระดับรวมเป็นองคาพยพ เป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ในการขับเคลื่อน ไม่ได้มีแค่กองกำลังติดอาวุธ หรือเป็นทหารอย่างเดียว
ถามว่ารัฐบาล หรือฝ่ายการเมืองรู้ไหม ตอบว่ารู้ไม่เต็มที่ ยกเว้นฝ่ายทหารจะรู้เรื่องพวกนี้มากๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ ตรงที่ว่าฝ่ายการเมืองเราอ่อนแอ เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนรัฐบาล บ่อยมาก
ตราบใดที่ฝ่ายทหารถูกปรับเปลี่ยน หรือถูกเปลี่ยนลูกพี่บ่อย ต้องมีปัญหาเรื่องความมั่นคง เพราะมีความไม่ชัดเจนนโยบายทั้งการปราบปราม และการป้องกัน นี่คือเหตุผลว่าเรื่องไม่จบ นอกจากนั้นเรามีความอ่อนแอในการบริหารบ้านเมือง ถ้าเรามีความชัดเจน มีความเข้มแข็งโดยเฉพาะฝ่ายราชการ หรือรัฐบาล มีนโยบายราบรื่น เป็นแนวเดียวกัน เรื่องอาจจบ แต่ถ้าไม่แน่นอนจะเป็นจุดอ่อนให้ผู้ก่อการมองเห็น และปฏิบัติการบ่อยๆ เพื่อปลุกกระแส ดิสเครดิต ทำลายความเชื่อถือ (ดังที่เห็น)
เมื่อถามว่าประชาชนจะช่วยได้อย่างไรบ้าง พระครูถามว่า องค์กรประชาชนของเราเข้มแข็งไหม เรามีองค์กรที่สามารถรวมตัวกันยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลได้ไหม องค์กรเรามี แต่น้อยนิดเดียว ไม่สามารถเป็นกำลังนำข้อเสนอเหล่านี้ไปผลักดันภาครัฐได้
ถ้ามีองค์กรอย่างศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาฯ ทำงานเข้มข้นตลอดเวลา แต่ต้องมีข้อมูลชัดเจน และแม่นยำด้วย
พระปลัดณรงค์ฤทธิ์ จึงเสริมว่า ถ้าเราประสานงานกันทั่วประเทศ มาคิดกันว่าจะทำอย่างไร น่าจะมองเห็นอะไรบ้าง เพราะเราไม่เคยพูด หรือดำเนินการแบบนี้มาก่อนเพื่อต่อรอง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามมีข้อต่อรองกับอำนาจรัฐชัดเจนมาก จนทำให้อำนาจรัฐทำอะไรไม่ได้ตามที่ต้องการ
เตือนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ
ในตอนท้ายพระครูให้ความเห็นเรื่องจะทำ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เป็นเขตปกครองพิเศษ มีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดว่า ในพื้นที่อาจจะสงบจริง โดยไม่มีปัญหากับภาครัฐ แต่มันไม่สงบดังที่เราคิด เพราะกลุ่มต่างๆ ของผู้ก่อความไม่สงบนั้น ไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียว มีหลายกลุ่มมาก พวกเขาไม่สามารถตกลงกันได้ เหมือนอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าที่มามอบตัวใน จ.นราธิวาส นั้นของจริง แต่เป็นคนละกลุ่มกับพวกที่ก่อการอยู่ ไม่มีใครสามารถไปคุมเขาได้เลย เพราะต่างคนต่างแย่งอำนาจกัน
ถ้ามีการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดขึ้นมา คนที่ถูกกระทำฝ่ายแรกคือชาวพุทธ เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ ย่อมมาจากคนจำนวนมาก แปลว่าถ้าชาวพุทธลงสมัคร ไม่มีใครเลือก ปัญหาที่ตามมาผู้ว่าฯ ที่มาจากการเลือกตั้ง หากเป็นคนในศาสนาอื่น หรือหน่วยราชการที่มีเจ้าหน้าที่จากศาสนาอื่น เขาจะไม่สนใจพุทธศาสนา เขาเข้าวัดไม่ได้ ไม่ส่งเสริม หรือให้การช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น
แท้จริงแล้วคนในศาสนานี้มีคน 2 ลักษณะ พวกหัวรุนแรง และพวกที่มีใจเป็นกลาง
คนที่ใจเป็นกลาง เป็นข้าราชการ อยากทำเพื่อความสงบในพื้นที่ แต่อิทธิพลของกลุ่มหัวรุนแรงมีมากกว่า จึงทำอะไรไม่ได้
ปล่อยให้ทหารทำงาน
ก่อนที่จะยิงกราดร้านทองที่สายบุรี ว่ามีคนมาบอกก่อนแล้วว่ากลุ่มหัวรุนแรงห้ามขายของวันศุกร์ ใครฝ่าฝืนจะถูกตัดหู เขาบอกตอนเช้า ตอนค่ำกราดยิงร้านทอง แม้ว่าพี่น้องต่างศาสนาจะมีหัวหรือใจเป็นกลาง แต่ทำไม่ได้ เพราะแรงบีบที่มีอำนาจข่มขู่ ใครขัดขืนมีปัญหาทันที
ส่วนแนวทางแก้ปัญหานั้น พระครูว่ายากมาก มีวิธีหนึ่งคือทำอย่างไรให้รัฐมีนโยบายมั่นคง ต่อเนื่อง อย่าไปก้าวก่ายฝ่ายทหาร หรืออย่าไปโจมตีทหาร เพราะทหารต้องเป็นกำลังหลักในพื้นที่ เพราะฝ่ายตรงข้ามมีกำลังจริงๆ มีกองกำลังติดอาวุธจริงๆ ถ้าไม่มีทหารเป็นตัวปราบ ปกป้องปัญหาจะหนัก คนที่เป็นชาวพุทธ และสายกลางจะถูกคนพวกนี้ครอบงำ
แก้ได้ถ้าไทยสามัคคี
พระราชวราจารย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้ อยู่ที่ว่าเราจะแก้หรือไม่แก้ ทั้งนี้การจะแก้ได้ต้องรู้สาเหตุปัญหาให้ได้ ปัจจุบันเรามาแก้ที่ปลายเหตุ เรารานกิ่ง แต่เราไม่โค่นต้นไม้ ไม่ขุดรากถอนโคนต้นไม้ ปัญหาจึงไม่หยุด สิ่งที่อาตมาต้องการคือชาวพุทธเราทุกคนไม่ว่าคนทางใต้หรือญาติโยมในที่นี่ก็ตาม หรือต่างจังหวัดก็ตาม ขอเรียกร้องให้มีความสามัคคีกัน สามัคคีของเราสามารถระงับเหตุที่เกิดในปัจจุบันนี้ได้
ถ้าคนไทยมัวแต่แตกแยกกัน พูดว่าช่างมันเถอะ ช่างหัวมันเถอะ อยู่ได้ก็อยู่ไป อย่างนั้นก็จบเห่กันเท่านั้น ดังนั้นความสามัคคีของไทยทั้งประเทศจะเยียวยาแก้ปัญหาในภาคใต้ได้


