คนยุค The 60s
ผมมีชีวิตแรกรุ่นและใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ที่สหรัฐในระหว่างปี ค.ศ. 1958-1965 ซึ่งที่เรียกกันว่า เป็นยุค The 60s หรือยุคปี ค.ศ. 1960
ผมมีชีวิตแรกรุ่นและใช้ชีวิตวัยรุ่นอยู่ที่สหรัฐในระหว่างปี ค.ศ. 1958-1965 ซึ่งที่เรียกกันว่า เป็นยุค The 60s หรือยุคปี ค.ศ. 1960
ยุค The 60s ครอบคลุมตั้งแต่ปี ค.ศ. 1955-1965 ประมาณนั้น เป็นยุคที่สหรัฐมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ระยะนั้นสหรัฐเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอย่างสูง แต่ขณะเดียวกันมีความขัดแย้งและยุ่งเหยิงทางสังคมมากมาย นักศึกษาและวัยรุ่นประท้วงต่อต้านสถาบัน คนผิวดำเรียกร้องความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน
ทางการเมืองเริ่มมีความตึงเครียดของสงครามเย็นระหว่างค่ายโลกเสรีที่นำโดยสหรัฐ และค่ายสังคมนิยมที่นำโดยสหภาพโซเวียต นำไปสู่วิกฤตขีปนาวุธ Cuban Missile Crisis ในปี ค.ศ. 1962 เวลาเดียวกันอเมริกาก็กระโจนเข้าสู่สงครามเวียดนาม แต่ติดหล่มสงครามไกลบ้านครั้งนี้และเป็นเหตุทำให้บั่นทอนพลังทางเศรษฐกิจของอเมริกา
สุดท้ายรัฐบาลเวียดนามใต้ซึ่งสหรัฐหนุนหลังพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ทหารอเมริกันต้องถอนกำลังกลับบ้านอย่างหมดรูป
ยุค The 60s เป็นยุคที่ประเทศสหรัฐรุ่งเรืองสูงสุด แต่ก็วุ่นวายมากมาย มีภาวะคล้ายๆ นักเขียนชื่อดังของอังกฤษ คือ Charles Dickens เคยกล่าวถึงสภาพการณ์ช่วงหนึ่งของสหราชอาณาจักรอังกฤษ ในเรื่อง “The Tales of Two Cities” ว่า “It is the best of time and the worst of times” “มันเป็นเวลาที่ดีที่สุด และมันก็เป็นเวลาที่แย่ที่สุด”
ชาวอเมริกันในยุค The 60s ก็มี 2 อารมณ์ในเวลาเดียวกันแบบนั้น
ช่วงแรกของยุค The 60s นั้น เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในอเมริกาซึ่งฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ยุโรปฟื้นตัวเพราะเงินช่วยเหลือจากสหรัฐภายใต้โครงการ Marshall Plan หรือแผนงานฟื้นฟูยุโรป (European Recovery Programme : ERP) ซึ่งตั้งชื่อตามนายพลจอร์จ แคตเลตต์ มาร์แชลล์ (George Catlett Marshall) ตามแผนการนี้สหรัฐจะให้เงินช่วยเหลือและเงินกู้แก่ยุโรปตะวันตก เพื่อป้องกันการพังทลายทางเศรษฐกิจของโลก
เงินมากกว่า 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ที่ทุ่มให้ยุโรปนั้น ทำให้เกิดกำลังการซื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงประชากรเกิดใหม่จำนวนมาก จึงเรียกคนที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1946-1965 ว่า เกิดในยุคเบบี้บูม หรือ Baby Bloomers หรือจะเรียกว่า คลื่นสึนามิมนุษย์ก็ว่าได้
เฉพาะที่อเมริกาแห่งเดียวมีเด็กเกิดใหม่ในช่วง 20 ปีนั้นมากถึง 78 ล้านคน
นี่ก่อให้เกิดกำลังซื้อใหม่มหาศาล ส่งผลให้เศรษฐกิจอเมริกาขยายตัวอย่างต่อเนื่องและยาวนาน กลายเป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ฉะนั้น ที่ Henry Luce ผู้พิมพ์และบรรณาธิการสื่อพิมพ์ใหญ่ๆ ของสหรัฐ เช่น Time พูดไว้ว่าช่วงเวลานั้นเป็น “ศตวรรษของอเมริกา” ก็เป็นความจริง
ในยุคนี้อีกเช่นกันที่สหรัฐเป็นเจ้าของอุตสาหกรรมใหญ่ๆ ของโลก ได้ส่งออกผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ เครื่องบิน คอมพิวเตอร์ และสินค้าเกี่ยวกับการอุปโภคบริโภคหลักๆ เช่น ตู้เย็น ทีวี เป็นต้น
เกือบครึ่งหนึ่งของรถยนต์ที่ใช้อยู่นอกสหรัฐในเวลานั้น ผลิตโดย 3 บริษัทยักษ์ใหญ่ คือ จีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์ เครื่องบินที่ใช้ทั่วโลกเกือบทั้งหมดผลิตจากอเมริกา นำโดย บริษัท โบอิ้ง สินค้าจากอเมริกากระจายไปทั่วโลก และมีอิทธิพลต่อความเป็นอยู่ของทั้งคนรวยและคนจนของแทบทุกประเทศ
คนไทยที่อยู่ในวัย 6070 ปี ในปัจจุบันจะจำได้ถึงสินค้าอเมริกันที่เข้ามาในเมืองไทยในยุคนั้นจะประทับตรา Made in USA เป็นหลักเพื่อประกันคุณภาพและความน่าเชื่อถือ ใครใช้ของอย่างนี้ถือว่าโก้เก๋มาก
ความรู้สึกเช่นว่า ทรงอยู่กระทั่งเข้าสู่ยุค ’80 (1975+) อิทธิพลเศรษฐกิจและสินค้าจากญี่ปุ่นและยุโรปจึงเริ่มเข้ามาทดแทนและเบียดสินค้าจากสหรัฐออกไป
ในช่วงรุ่งเรืองสุดนั้น ภายในสหรัฐเองก็มีการขยายตัวทั้งทางกายภาพและคุณภาพชีวิตอย่างต่อเนื่อง
อเมริกาลงทุนขยายการคมนาคมทางบก โดยสร้างถนนเชื่อมรัฐต่อรัฐและเมืองต่อเมืองเข้าด้วยกัน โดยบุกเบิกเส้นทางใหม่เป็นความยาวถึงประมาณ 6.4 หมื่นกิโลเมตร เปิดประตูจากรัฐที่อยู่ตะวันออกไปสู่รัฐทางตะวันตก ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายประชากรไปแผ่นดินใหม่ที่สมบูรณ์และกว้างขวางยิ่งขึ้น
ในปี ค.ศ. 1963 ประชากรของรัฐแคลิฟอร์เนียก็มีจำนวนมากกว่ารัฐนิวยอร์กแล้ว
เส้นทางเกิดใหม่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดจนถึงทุกวันนี้ คือ Route 66 หรือทางหลวง 66
ทางเส้นนี้เชื่อมต่อเมืองชิคาโกทางตะวันออกของประเทศไปสู่ตะวันตกที่เมืองลอสแองเจลิส ผ่านรัฐทางภาคกลาง เช่น มิสซูรี แคนซัส โอคลาโฮมา เทกซัส นิวเม็กซิโก แอริโซนา และแคลิฟอร์เนีย สมัยนั้นเส้นทางนี้ถูกนำมาเป็นอเมริกันทีวีซีรีส์ บอกเล่าชีวิตคนหนุ่ม 2 คน Tod Stiles, Buz Murdoc ขับรถสปอร์ต Corvette (คอร์เวตต์) ไปตามเมืองต่างๆ ตามเส้นทางสายนี้ ระหว่างนั้นก็มีเรื่องราวมากมาย
ละครทีวีฉายอยู่นาน คือ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960-1964 เป็นรายการยอดนิยมอันดับสูง ผมดูรายการนี้เป็นประจำ มีทั้งความบันเทิงและข้อคิดดีๆ
เพราะการคมนาคมทางถนนที่สะดวกมาก และรถยนต์ราคาไม่แพงนั่นเอง ทำให้วิถีชีวิตของอเมริกันชนทั้งหลายเริ่มเปลี่ยนจากคนอยู่ในเมืองไปอาศัยอยู่ตามชานเมืองหรือชนบทรอบเมืองมากขึ้น พวกเขายินดีที่จะขับรถไปทำงานไกลหน่อย แต่มีบ้านใหญ่โตในพื้นที่กว้างขวาง เป็นชุมชนไม่แออัด ตอบรับกับสังคมที่กำลังเติบโตด้วยเด็กเกิดใหม่ คนหนุ่มสาวยุคนั้นทำงานและมีรายได้ประจำ สามารถจะผ่อนส่งบ้านและซื้อรถยนต์ได้สบายๆ ครอบครัวชนชั้นกลางที่มีพ่อทำงานและแม่ดูแลลูกๆ อยู่ที่บ้าน ก็มีความเป็นอยู่อย่างสบายๆ มีปัจจัย 4 ครบถ้วน บวกด้วยรถยนต์อีกครอบครัวละ 2 คัน เป็นมาตรฐาน
ในด้านความสุขกายสบายตัวแล้วไม่มีใครเกินชาวอเมริกันในยุคนั้น
อ่านต่อสัปดาห์หน้า


