ครอบครัวไทยที่แคนซัส
เมื่อมีพี่ๆ คนไทยมาเรียนที่มหา วิทยาลัยแคนซัสมากขึ้น ผมจึงหันมาร่วมสังคมไทยมากขึ้น
โดย...ประมนต์ สุธีวงศ์
เมื่อมีพี่ๆ คนไทยมาเรียนที่มหา วิทยาลัยแคนซัสมากขึ้น ผมจึงหันมาร่วมสังคมไทยมากขึ้น แต่เนื่องจากผมอายุน้อยที่สุดในกลุ่มนักเรียนชาย จึงถูกขนานนามว่า “ไอ้หนู” จำได้ว่า คุณเกษม ณรงค์เดช โกลนักฟุตบอลทีมชาติไทยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้ตั้งชื่อนี้ให้
เมื่อว่างๆ พวกพี่ๆ มักตั้งวงจั่วไพ่กันเป็นครั้งคราว แม้ผมจะอ่อนสุดแถมเป็นมือใหม่อ่อนหัด แต่ก็ไม่ขัด เลยกลายเป็นหมูสนามให้รุ่นพี่ๆ ที่เจนศึกมาแล้วได้เชือดอยู่บ่อยๆ
ครั้งหนึ่งเราเล่นเผ คนอื่นหมอบหมดจนเหลือตัวต่อตัวกับพี่คนหนึ่ง
เมื่อเขาใส่เงินก้อนโตลงกองหลังได้ไพ่ใบสุดท้าย ผมต้องตัดสินใจว่าเขาบลัฟเราหรือของจริง
ขณะกำลังจะหยิบเงินใส่กองเพื่อขอดู รู้สึกว่ามีใครเหยียบที่เท้าแรงๆ 2-3 หน แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ พอเหลือบไปดูเห็นคุณเกษมซึ่งหมอบไปแล้วหลิ่วตาเป็นสัญญาณว่าอย่าเลย ผมก็เชื่อฟังตัดสินใจหมอบไปแต่โดยดี พอพี่คนนั้นหงายฟูลเฮาส์หน้าตาแป๊ะให้ดูเพื่อหยามน้ำใจ เป็นอันว่าเสียหน้าดีกว่าเสียเงิน
ตอนนั้นคุณเกษมคงนึกสงสารมืออ่อนหัดอย่างผมว่าอ่านไพ่ไม่สันทัดแล้วดันไปจับขาใหญ่
ขอบคุณครับพี่เษม
คุณเกษมนั้น เมื่อกลับมาแล้วก็แต่งงานกับคุณหญิงพรทิพย์ ลูกสาวคนโปรดของคุณถาวร พรประภา แล้วแยกตัวออกมาทำกิจการของตนเองจนเจริญรุ่งเรือง มีลูกเต้าสืบวงศ์ตระกูล เป็นคนฝีมือดีๆ ระดับชาติหลายคน เดี๋ยวนี้เวลาพบกันผมแลดูแก่กว่าคุณเกษม เพราะเราผมขาวหมดหัวแล้ว แต่พี่เษมผมเพิ่งจะเริ่มเทาๆ เท่านั้นเอง
ส่วนคุณศิริศักดิ์ สืบสิริ วิศวะจากจุฬาฯ ผู้ไปเรียนต่อปริญญาโท เมื่อจบแล้วกลับมาทำงานที่เดียวกับผม คือ ที่บริษัท เอสโซ่ แสตนดาร์ด ประเทศไทย อยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะไปประกอบธุรกิจส่วนตัวและได้ติดต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง คุณศิริศักดิ์นั้นได้รับขนานนามว่า “ท้าว” จำไม่ได้ว่าเพราะเหตุไร อาจเป็นเพราะครั้งหนึ่งเป็นคู่รำวงมาตรฐานกับคุณเพ็ญพรรณในวันนักเรียนนานาชาติ และลักษณะท่าทางตอนรำเหมือนยกถาดคล้ายๆ เจ้าเมืองลาว เลยถูกเรียกว่า ท้าวอุ่นตีนเย็นตั้งแต่นั้นมา
มีเหตุการณ์ที่พวกเราต้องรำลึกไว้อยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ งานล้างชาม
ปกติเราจะสลับสับเปลี่ยนเวร ผลัด กันปัดกวาดทำความสะอาดบ้าน ทำกับข้าว ล้างจาน แต่มีครั้งหนึ่งจำไม่ได้ว่าเป็นเวรใครล้าง แต่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ทิ้งจานชามที่ใช้แล้วไว้เต็มอ่างตั้งแต่เช้ายันเย็น คุณศิริศักดิ์กลับมาบ้านเย็นนั้นไม่มีชามจะใช้ ไม่พูดอะไรมาก จับจานชามสกปรกเหล่านั้นโยนออกไปนอกบ้านหมด ผลปรากฏว่าต้องลงขันซื้อภาชนะที่จำเป็นมาใช้กันใหม่
อาจารย์บุญสนอง บุญโญทยาน จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาเรียนต่อเช่นเดียวกับคุณเกษม และคุณศิริศักดิ์ แต่เป็นการมาทำปริญญาเอกนั้น เป็นคนตัวเล็ก เสียงดัง ยิ่งเวลาดื่มไปตึงๆ สักหน่อยจะคุยดังลั่นไปหมด เป็นเหตุให้ต้องวิวาทกับฝรั่งครั้งหนึ่ง
คืนนั้นเราไปเที่ยว Kansas City กับเพื่อนคุณบุญสนอง ซึ่งเป็นฝรั่งตัวโตขนาด 2 เท่าของอาจารย์ เราไปกัน 45 คน เมื่อทานอาหารเย็นแล้วก็แวะเยี่ยมตามบาร์ต่างๆ ดื่มเบียร์ไปคุยกันไป พอดึกๆ หน่อยก็เริ่มจะตึงๆ กันแล้ว อาจารย์บุญสนองก็เอะอะ โวยวาย พูดคุยสนุกเสียงดัง แม้ไม่ได้ต้องการหาเรื่องกับใคร แต่ฝรั่งซึ่งนั่งอยู่ไม่ไกลนักกลุ่มหนึ่งคงรู้สึกเขม่นขึ้นมาเลยแขวะไปมา จนโต้เถียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน ระหว่างตะลุมบอนกันนั้น อาจารย์บุญสนองคงเกรงว่าถ้าเขารู้ว่าพวกเรามาจากไหนจะเสียชื่อคนไทย เลยร้องตะโกนขึ้นมาว่า We Cambodian let’s get them หรือแปลง่ายๆ ว่า พวกเราชาวเขมรลุยเลย ไม่ทราบว่าท่านหัวไวไปเอาความคิดอย่างนี้มาจากไหน คงอาจเพราะยุคนั้นกำลังมีเป็นควันหลงจากคดีเขาพระวิหารยังอุ่นๆ อยู่
ถึงจะลงไม้ลงมือกัน แต่ก็ได้แค่ตะลุมบอนกันด้วยมือเปล่า ไม่มีอาวุธ ประเดี๋ยวเดียวก็เลิกเพราะกลัวถูกตำรวจจับ เพราะตำรวจสหรัฐเข้มงวดแถมตัวโตๆ ทั้งนั้น ถ้าถูกจับไปโรงพักคงสนุกแน่
อาจารย์บุญสนองนั้นมีความคิดเอนเอียงไปทางสังคมนิยม สังเกตได้ชัดเจนจากเวลาสนทนากันเรื่องการเมือง เมื่อกลับมาถึงเมืองไทยแล้วอาจารย์ก็ไปร่วมกับพรรคการเมืองที่มีอุดมคติทางสังคมนิยมพรรคหนึ่ง ต่อมาพวกเราต้องเสียใจกันถ้วนหน้า เมื่อการเมืองยุคนั้นทำให้อาจารย์ถูกลอบยิงเสียชีวิตที่ปากซอยโรงแรมอพอลโล บนถนนวิภาวดี ระหว่างจะกลับเข้าบ้านพัก
นอกจากเพื่อนรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยแล้ว ผมยังมีโอกาสได้พบและรู้จักเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันที่ไปเรียนต่อปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยอื่นในรัฐเดียวกันหรือใกล้ๆ กันอีกหลายคน เช่น ที่รัฐเนแบรสกาและไอโอวา เป็นต้น ที่สมควรกล่าวถึงคือ คุณสมิท เทียมประเสริฐ คุณเจน จิตรเวช และคุณเกรียง กฤตบุญยายน ซึ่งชื่อจีนว่า Chieng Lao ทั้งสามคนนี้เมื่อกลับมาประเทศไทยแล้ว เราก็ยังได้พบปะติดต่อกันเป็นประจำ
คุณสมิท เรียนที่มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา สเตต ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐเช่นเดียวกับมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ คุณเจน เรียนที่เดียวกับผม เมื่อจบแล้วทั้งเราทั้ง 4 คน ก็พากันกลับมาทำงานที่บริษัท เอสโซ่ ประเทศไทย
นี่ไม่ใช่ความบังเอิญมาก หากแต่เป็นเพราะสมัยนั้นมีแต่บริษัทใหญ่ๆ ไม่กี่แห่งที่ให้เงินเดือนสูงๆ ส่วนใหญ่มักจะเป็นบริษัทต่างชาติเท่านั้น
ยุคนั้นเราจึงเป็นแก๊งออฟโฟร์ แข่งขันกับมาดามเมาเซตุงแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่อเมื่อคุณศิริศักดิ์ลาออกไปประกอบอาชีพส่วนตัวก่อนคนอื่น พวกเราที่เหลือทำงานต่อและประสบความสำเร็จด้วยดี คุณสมิท และคุณเจน อยู่จนถึงเกษียณอายุทำงานในตำแหน่งบริหารระดับสูงของบริษัท ถือว่าเป็นคนไทยรุ่นแรกๆ ที่ได้รับการยอมรับจากต่างชาติ คุณสมิทนั้นถึงแม้เกษียณแล้วยังได้รับเกียรติให้เป็นกรรมการบริษัทจนถึงปัจจุบัน
คุณเกรียง จบจากมหาวิทยาลัยแคนซัส สเตต ถือว่าเป็นคู่แข่งขันกับมหาวิทยาลัยผม ก็ได้มาสนิทกันเมื่อกลับมาประเทศไทยแล้ว เราเป็นสมาชิกสปอร์ตคลับด้วยกัน และมักพบกันที่ห้องออกกำลังกายเป็นประจำ วันหนึ่งคุณเกรียงถามผมว่า เรียนที่แคนซัสหรือเปล่า เพราะเขาจำได้ว่าเคยมาส่งเพื่อนที่มหาวิทยาลัยที่ผมเรียนอยู่ เลยได้พบผมและเพื่อนบางคนในครั้งนั้น แต่ไม่ได้มีการติดต่อกันอีกเลย ผมจึงระลึกความหลังได้ และได้แลกเปลี่ยนลำดับเหตุการณ์ในช่วงนั้นซึ่งกันและกัน เป็นบ่อเกิดแห่งมิตรภาพที่ต่อเนื่องมาทุกวันนี้
ปัจจุบันคุณเกรียงเป็นเจ้าของบริษัทจำหน่ายยาสีฟัน “ดาร์ลี่” แต่มีงานอดิเรก คือ เป็นเจ้าของคอกม้าแข่งที่ใหญ่แห่งหนึ่งในประเทศไทย วันเสาร์อาทิตย์ เวลามีแข่งม้าก็ได้ค่าเลี้ยงม้ากลับบ้านบ้างเป็นครั้งคราว แต่นานๆ ก็ถูกม้าของตนเองเตะจนกระเป๋าแฟบไปบ้างเป็นบางที
ผู้คนเหล่านี้เป็นกัลยาณมิตรของผมมากว่าค่อนชีวิต...
อ่านต่อสัปดาห์หน้า


