พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียริตวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียริตวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียริตวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์
โดย..วิมลพรรณ ปีตธวัชชัย
ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจ้าจอมมารดาโหมด ประสูติเมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2423 ในพระบรมมหาราชวัง ทรงมีพระกนิษฐาและพระอนุชาร่วมพระมารดาเดียวกันอีก 2 พระองค์ คือ พระองค์เจ้าหญิงอรองค์อรรคยุพา (สิ้นพระชนม์แต่ยังทรงพระเยาว์) และพระองค์เจ้าสุริยงประยูรพันธุ์ (กรมหมื่นไชยาศรีสุริโยภาส ต้นราชสกุล สุริยง)
เมื่อยังทรงพระเยาว์ ทรงได้รับการศึกษาเบื้องต้นทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ณ โรงเรียนราชกุมาร ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อทรงโสกันต์แล้ว พระองค์จึงได้ทรงเข้าเป็นนักเรียนในโรงเรียนหลวง ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ
หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ปากน้ำเมื่อเดือน ก.ค. 2436 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ส่งพระเจ้าลูกยาเธอสองพระองค์ไปศึกษาในทวีปยุโรปเพื่อศึกษาวิชาการทหารเรือโดยเฉพาะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ กรุมขุนเทพทวาราวดี (รัชกาลที่ 6) พระชันษา 12 ปี (แต่ต่อมาเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธฯ ได้รับการสถาปนาเป็นองค์สยามมกุฎราชกุมาร จึงทรงเปลี่ยนแนวการศึกษา) และพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ ขณะนั้นมีพระชันษา 13 ปี เสด็จไปทรงศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ ทรงศึกษาในชั้นประถมศึกษา เพื่อทรงศึกษาภาษาและวิชาเบื้องต้น
เมื่อทรงเรียนจบชั้นประถมศึกษาแล้ว พระองค์ทรงเลือกที่จะศึกษาวิชาการการทหารเรือ ตามพระราชประสงค์ของพระบรมราชชนก โดยทรงแยกไปศึกษาต่อ ณ โรงเรียนนายเรือของประเทศอังกฤษ พระองค์ทรงศึกษาและสอบไล่ได้ตามหลักสูตรสูงสุดของโรงเรียนนายเรืออังกฤษ ทรงเป็นพระองค์แรกที่เสด็จไปทรงศึกษาเกี่ยวกับวิชาการทหารเรือยังต่างประเทศตลอดเวลาที่ทรงศึกษา ทรงใช้พระวิริยะ อุตสาหะ และทรงฝึกงานในเรือหลวง Revenge ทรงได้รับภารกิจที่ยากลำบากเสี่ยงต่ออันตรายในการปราบปรามจลาจลบนเกาะครีต (Crete) ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่พระองค์มิได้ทรงย่อท้อหวาดกลัวแต่ประการใด ทรงดำเนินพระจริยวัตรเช่นประชาชนธรรมดา นับเป็นเจ้านายพระองค์แรกที่ทรงมีประสบการณ์ผ่านศึก เมื่อทรงสำเร็จการศึกษาวิชาการทหารเรือจากประเทศอังกฤษแล้วจึงเสด็จกลับประเทศไทย
หลังจากกลับมาประเทศไทยแล้วในเดือน ก.พ. 2443 ก็ทรงอภิเษกสมรสกับพระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธ์วงศ์วรเดช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำสังข์ในพิธีอภิเษกสมรส ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ทรงเข้ารับราชการในกรมทหารเรือ ได้รับพระราชทานยศเป็นนายเรือโท และได้รับการเฉลิมพระอิสริยยศเป็น พระองค์เจ้าต่างกรมที่กรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกรมทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่งเจ้ากรมยุทธศาสตร์ทหารเรือในปี 2449 พระองค์ได้ทรงแก้ไขระเบียบการในโรงเรียนนายเรือ และทรงเป็นครูสอนนักเรียนนายเรือ ทรงจัดเพิ่มเติมวิชาสำคัญสำหรับชาวเรือเพื่อให้เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วสามารถเดินเรือทางไกลในทะเลน้ำลึกได้ คือวิชาการศาสตร์ตรีโกณมิติ พีชคณิต อุทกศาสตร์ การเดินเรือเรขาคณิต
ทรงเป็นเรี่ยวแรงสำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นความสำคัญและโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชวังเดิมให้เป็นที่ตั้งของโรงเรียนนายเรือ เมื่อวันที่ 20 พ.ย. 2449 ทำให้กิจการทหารเรือมีรากฐานมั่นคง และกองทัพเรือจึงยึดถือวันดังกล่าวของทุกปีเป็น “วันกองทัพเรือ”
ครั้นถึงปี 2451 ก็เกิดเรื่องเศร้าสลดขึ้น เมื่อพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ พระชายา ซึ่งในขณะนั้นทรงมีพระโอรสแล้วถึง 3 พระองค์ ทรงน้อยพระทัยพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ พระสวามี แล้วทรงปลงชีพพระองค์เองด้วยยาพิษจนสิ้นชีพิตักษัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโทมนัสมาก ถึงกับมีพระราชหัตถเลขาไปขอโทษขอโพย พระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีฯ พระอนุชา ว่ากันว่าสาเหตุที่พระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ทรงปลงพระชนม์ชีพนั้น สืบเนื่องมาจากทรงน้อยพระทัยที่พระสวามีทรงเอาพระทัยออกห่างไปสมัครรักใคร่ได้ คุณลินจง บุนนาค ธิดาสาวสวยนักเรียนนอกของพระยาสุริยานุวัตรมาเป็นหม่อมห้าม ประกอบกับทรงมีเรื่องระหองระแหงกับเจ้าจอมมารดาโหมดอยู่บ้างแล้วจึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องขึ้น ด้วยพระเมตตาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อพระโอรสที่ประสูติแต่พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าทิพยสัมพันธ์ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา หม่อมเจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา พระโอรสองค์ใหญ่ขึ้นเป็นพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา นับเป็นพระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 5 พระองค์แรกที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนอิสริยยศ
ในปี 2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์ออกจากหน้าที่ราชการประจำเป็นนายทหารกองหนุน จนถึงปี 2459 (เป็นระยะเวลา 6 ปี) ต่อมาในวันที่ 1 ส.ค. 2460 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระองค์กลับเข้ารับราชการในกระทรวงทหารเรือในตำแหน่งเจ้ากรมจเรทหารเรือ ปฏิบัติราชการจนได้รับพระราชทานเลื่อนยศขึ้นเป็น พลเรือเอก เมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2463 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระอิสริยศักดิ์เป็น “กรมหลวง” เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2463 จนถึงปี 2466 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้พระองค์ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรือ
ระหว่างที่ทรงว่าราชการอยู่เป็นเวลา 6 ปีนั้น พระองค์ได้ทรงศึกษาวิชาแพทย์แผนโบราณจากตำราไทย ทรงเขียนตำราแพทย์ในสมุดข่อยด้วยฝีพระหัตถ์ของพระองค์เอง และรับรักษาโรคแก่ประชาชนทั่วไปโดยไม่คิดมูลค่า ทรงเรียกพระองค์เองว่า “หมอพร”
ตำแหน่งสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์นั้น คือ เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ และทรงดำรงตำแหน่งนี้อยู่เพียง 49 วันเท่านั้น ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์มีสุขภาพไม่สมบูรณ์ และประชวรด้วยพระโรคภายใน จึงได้กราบถวายบังโคมลาราชการ ออกไปตากอากาศเพื่อพักผ่อนรักษาพระองค์ เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2466 ทางราชการกระทรวงทหารเรือได้สั่งให้กระบวนเรือที่ 2 จัดเรือหลวงเจนทะเลถวายเป็นพาหนะ และกรมแพทย์ทหารเรือได้จัดนายแพทย์ประจำพระองค์ 1 นาย พร้อมด้วยพยาบาลตามเสด็จไปด้วย พระองค์ได้เสด็จออกจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 เม.ย. 2466 พระองค์ได้เสด็จประทับอยู่ที่ด้านใต้ปากน้ำเมืองชุมพร ซึ่งเป็นที่ที่พระองค์ทรงจองไว้เพื่อจะทำสวนขณะที่พระองค์ประทับอยู่ที่ จ.ชุมพร นี้ พระองค์เกิดเป็นพระโรคหวัดใหญ่ เนื่องจากถูกฝนและประชวรอยู่เพียง 3 วัน ก็สิ้นพระชนม์ ในวันที่ 19 พ.ค. 2466 สิริรวมพระชนมายุได้ 44 พรรษา
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดเรือหลวงพระร่วงไปรับพระศพและอัญเชิญพระศพมาประดิษฐาน ณ ที่วังของพระองค์ท่าน แล้วได้ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลพระราชทาน จนถึงเดือน ธ.ค. 2466 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระศพโดยมีกระบวนแห่ฝ่ายทหารตามพระเกียรติยศพลเรือเอก และกระบวนแห่ฝ่ายพลเรือนตามพระเกียรติยศเจ้าต่างกรมชั้นผู้ใหญ่ ไปพระราชทานเพลิง ณ พระเมรุท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 24 ธ.ค. 2466
พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงมีพระอัธยาศัยที่มั่นคง คือ ความซื่อตรง กล้าหาญ เด็ดเดี่ยว จริงใจ และมีความโอบอ้อมอารี ไม่ถือพระองค์ต่อทหารเรือทุกคน มิใช่อย่างข้ากับเจ้าหรือบ่าวกับนาย หากแต่เสมือนบิดากับบุตร ไม่เว้นแม้บุคคลทั่วไป ไม่ว่าใครก็ตามที่เสด็จในกรม ทรงคบหาสมาคมด้วยจะมีใจ รักใคร่ เคารพ ในพระองค์ท่านเป็นที่ทราบซึ้งตรึงใจและเทิดทูนบูชาของทหารเรือทั้งหลายยิ่งนัก ด้วยพระวิริยะ อุตสาหะ และความมุ่งมั่นที่พระองค์ทรงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กองทัพเรือเจริญก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความเข้มแข็ง มั่นคง และสามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี จึงทรงได้รับขนานพระสมัญญานามว่า “องค์บิดาของทหารเรือไทย” นอกจากนี้ยังมีการจัดสร้างศาลและอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ที่ชาวบ้านทั่วไปมักจะเรียกว่า “เสด็จเตี่ย” ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศทั้งสิ้นถึง 217 แห่ง
พระโอรสของพระองค์ที่คนไทยรู้จักก็คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพยอาภา อดีตผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ในรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่วนหลานปู่ หลานตา ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน คือ หม่อมราชวงศ์ รุจยา อาภากร อดีตอาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และผู้อำนวยการองค์การสปาฟ่า และภากร ศุภชลาศัย นักจัดสวนผู้มีฝีมือเป็นที่ยอมรับนับถือในวงการพืชสวนของประเทศ


