posttoday

สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อตัวชี้ชะตากรุงเทพฯชั้นใน

12 พฤศจิกายน 2554

สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ในการกำหนดชะตาของชาวกรุงเทพมหานคร (กทม.)

สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อถือเป็นอีกจุดยุทธศาสตร์ในการกำหนดชะตาของชาวกรุงเทพมหานคร (กทม.)

ชั้นในไม่ให้ถูกน้ำท่วมถึง การทำงานตลอด 24 ชั่วโมงของเครื่องสูบน้ำจำนวน 17 ตัว จึงเป็นตัวชี้ชะตาผู้คนอีกจำนวนมากในหลายเขตที่เหลือของ กทม. ว่าจะรอดพ้นมหาวิกฤตครั้งนี้ไปได้หรือไม่

ชำนาญ ขวัญเนตร นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อ เปิดเผยว่า ระดับน้ำในคลองบางซื่อเมื่อเช้าวันที่ 11 พ.ย. ลดลงประมาณ 10 เซนติเมตร ซึ่งเป็นวันแรกที่ระดับน้ำเริ่มลดลง หลังจากที่สถานีได้เร่งเดินเครื่องสูบน้ำทั้ง 17 ตัว ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง ช่วยระบายน้ำออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้วันละ 4 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)

ทั้งนี้ ตั้งเป้าว่าจะพยายามลดระดับน้ำในคลองบางซื่อให้ได้วันละประมาณ 10 เซนติเมตร เพื่อลดผลกระทบน้ำท่วมในเขตพื้นที่ กทม.ชั้นใน ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยายังคงสูงกว่าคลองบางซื่อประมาณ 2 เมตร

“เราพยายามลดให้ได้วันละ 10 เซนติเมตร แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าปริมาณน้ำที่ไหลเข้าคลองจะมีมากน้อยแค่ไหน ซึ่งที่ผ่านมาสถานีสูบน้ำออกไปได้ช้า เพราะมีปริมาณน้ำไหลเติมเข้ามาในคลองเรื่อยๆ ทั้งจากคลองเปรมประชากร คลองลาดพร้าว น้ำจากถนนพหลโยธิน วิภาวดีรังสิต และน้ำเหนือที่ยังไหลบ่าเข้ามา” ชำนาญ กล่าว

สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อตัวชี้ชะตากรุงเทพฯชั้นใน

 

อย่างไรก็ตาม ล่าสุดผู้บริหารกองระบบควบคุมอาคารวัดน้ำของ กทม. และการไฟฟ้านครหลวงได้เข้ามาสำรวจพื้นที่ และวางแผนติดตั้งเครื่องสูบน้ำเพิ่มอีกประมาณ 45 ตัว เพื่อเพิ่มศักยภาพระบายน้ำของสถานีสูบน้ำคลองบางซื่อให้สูงขึ้น สอดคล้องกับปริมาณน้ำจำนวนมากที่ไหลเติมเข้ามาต่อเนื่อง โดยคาดว่าภายใน 34 วันนี้น่าจะเริ่มติดตั้งได้แล้วบางส่วน

ชำนาญ กล่าวว่า สิ่งที่กังวลสุดในเวลานี้ คือ เครื่องสูบน้ำอาจชำรุดหรือเสียหายได้ เนื่องจากเครื่องสูบน้ำทำงานหนักตลอด 24 ชั่วโมงมา 2 สัปดาห์แล้ว หากชำรุดเสียหายมากอาจต้องใช้เวลาในการซ่อมแซมนาน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการระบายน้ำได้ โดยขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้ติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในห้องควบคุมเครื่องสูบน้ำจำนวน 2 ตัว เพื่อลดความร้อนของตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ำให้ต่ำลง เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องสูบน้ำให้นานที่สุด

“ตอนนี้อุณหภูมิในห้องควบคุมอยู่ที่ 28 องศาเซลเซียส เราอยากลดลงมาให้ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียส เพื่อยืดอายุการใช้งานเครื่องสูบน้ำ ถ้าได้เครื่องปรับอากาศเพิ่มอีก 1 ตัว ก็น่าจะช่วยลดความร้อนลงได้ เพราะเรากลัวว่าถ้าเครื่องร้อนมากจะทำให้สายไฟไหม้จนชอร์ตกัน และระบบจะตัดการทำงานอัตโนมัติ ขณะนี้ต้องใช้วิธีเปิดฝาตู้ควบคุมเครื่องสูบน้ำแล้วเอาพัดลมเป่าเพื่อระบายความร้อนแทน ซึ่งอันตรายมาก เพราะเจ้าหน้าที่อาจโดนไฟฟ้าแรงสูงขนาด 380 โวลต์ชอร์ตได้” นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน สถานีสูบน้ำคลองบางซื่อ ระบุ

ชำนาญ กล่าวด้วยว่า การสูบน้ำของสถานีคลองบางซื่อถือว่าเต็มศักยภาพแล้ว เพราะในภาวะปกติจะใช้เครื่องสูบน้ำระบายน้ำฝนเพียงวันละ 12 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ขณะนี้ต้องเดินเครื่องทั้งหมด 17 ตัว ตลอด 24 ชั่วโมง ดังนั้นหากมีปริมาณน้ำไหลเข้าคลองมากกว่านี้ก็อาจทำให้น้ำล้นตลิ่งได้

ขณะที่ คมสัน มาลีสี รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้ฉายภาพการแก้ปัญหาการระบายน้ำ กทม. ฝั่งตะวันออกย่านลาดกระบัง ว่า ปัญหาที่พบ คือ คลองทั้ง 5 เส้นทางบริเวณลาดกระบังมีลักษณะคอคอด ในบางช่วงที่มีสะพานข้ามถนน เช่น ถนนบางนาตราด ที่ใต้สะพานจะตื้นเขินด้วยดินโคลน โดยการแก้ปัญหาจะใช้รถดับเพลิงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำท่อฉีดน้ำหย่อนลงไปใต้สะพานเพื่อไล่โคลนที่อยู่ข้างใต้ออกให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำคล่องตัว ไม่หยุดชะงัก

นอกจากนี้ ยังมีโมเดลเครื่องเจ็ตดันน้ำจากใต้ผิวน้ำ ลักษณะเป็นท่อกลมแบบถังน้ำ 200 ลิตร มีใบพัดขนาดใหญ่ จัดวางในลำคลองระยะห่างกัน 100 เมตร เป็นการทำให้น้ำเคลื่อนที่ไปได้ด้วยกันทั้งลำคลอง ส่วนการนำเครื่องเจ็ตไว้ใต้น้ำเพื่อให้เกิดแรงดันน้ำที่มีประสิทธิภาพมากกว่าใช้ใบพัดของเรือหางยาวดันน้ำได้เพียงผิวน้ำด้านบนเท่านั้น

“สิ่งที่ต้องทำ คือ การทำให้น้ำในลำคลองลาดกระบัง คลองหนองงูเห่า คลองบางโฉลง คลองจระเข้ใหญ่ คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ไหลได้อย่างดีก่อน เพราะเป็นทางไหลของน้ำโดยตรง เพื่อให้น้ำไหลลงไปที่ปั๊มน้ำออกสู่ทะเล ซึ่งเครื่องปั๊มน้ำมีประสิทธิภาพมาก เพียงแต่หัวน้ำขณะนี้ยังไปไม่ถึง จะเป็นผลดีมากกว่าการระเบิดถนนเพื่อระบายน้ำ” รองคณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้จากการประชุมร่วมกันระหว่างสำนักงานเขตลาดกระบัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ และชุมชนบริเวณใกล้เคียง 61 ชุมชน เพื่อร่วมกันเร่งระบายน้ำออกสู่ทะเลให้เร็วที่สุด โดยแต่ละชุมชนจะช่วยกันเก็บกวาดขยะและผักตบชวาที่ลอยอยู่ในลำคลองขนาดใหญ่ทั้ง 5 คือ คลองลาดกระบัง คลองหนองงูเห่า คลองบางโฉลง คลองจระเข้ใหญ่ และคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต

ขณะที่มวลน้ำฝั่งตะวันออกของ กทม. ได้ทยอยมาถึงย่านบางกะปิ และเริ่มมุ่งหน้าไปย่านศรีนครินทร์เป็นลำดับ  

 

ข่าวล่าสุด

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ เยี่ยมศูนย์อพยพชายแดนไทย-กัมพูชา หวัง สถานการณ์คลี่คลาย