posttoday

ความเชื่อมั่นนายกฯวูบแก้โควิดเหลว'ติดเชื้อตายพุ่ง-วัคซีนช้า-เดลต้า'รุกหนัก

03 กรกฎาคม 2564

โดย...ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

****************

ประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลหนักขึ้นจากการแก้ปัญหาโควิดไม่มีประสิทธิภาพทำให้ยอดผู้ป่วยไม่ลดลง แถมมีแนวโน้มพุ่งไปสู่การระบาดระลอกสี่ ระชาชนไม่เห็นแสงสว่างว่า ประเทศจะผ่านวิกฤตโควิดไปได้อย่างไร ยอดผู้ติดเชื้อเตะหลัก 6,000 ราย มีแนวโน้มใกล้เข้าหลักหมื่นเข้าทุกที ส่วนยอดผู้เสียชีวิต ไปถึงหลักครึ่งร้อยต่อวัน สลับกันทำนิวไฮทุกวัน รองปลัดสาธารณสุขยังต้องร่ำไห้กับสถานการณ์เตียงไอซียูขาด ผู้ติดเชื้อนอนรอการรักษาอยู่ที่บ้าน เสียชีวิตอย่างน่าอนาถาหลายราย

ปรากฏการณ์ที่เห็นชัดในรอบสัปดาห์ เสียงก่นด่ารัฐบาล จากคนกลางๆ ที่เคยสนับสนุนรัฐบาลหันมาวิพากษ์ไม่พอใจรุนแรง หมอกลุ่มต่างๆ ออกมากระทุ้งตำหนิ มาตรการรัฐบาล ปัญหาวัคซีนทางเลือกไม่มีความคืบหน้า ปัญหาการสื่อสารของรัฐบาลคนละทิศคนละทาง

ในทางการเมือง หากวันนี้ใกล้เลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐคงต้องคิดหนักหากจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ชิงนายกฯ อีกสมัย เพราะเครดดิตตกวูบ

คะแนนนิยม พล.อ.ประยุทธ์ ด่ำดิ่งรวดเร็วช่วงไม่กี่สัปดาห์ จะทำอะไรก็ผิดไปหมด โดยเฉพาะจากมาตรการกึ่งล็อคดาวน์เมื่อศุกร์ที่ผ่านมาที่ถูกวิจารณ์ว่า คิดกันหน้างาน แล้วมาประกาศกันโครมคราม ห้ามนั่งกินอาหารในร้าน จนประชาชน ผู้ประกอบการเดือดร้อนกันถ้วนหน้า แม้ต่อมารัฐบาลจะออกมาตรการเยียวยาภายหลังให้ลูกจ้าง นายจ้าง ร้านอาหาร กลุ่มผู้ประกอบการประเภทต่างๆ แต่มันสะท้อนถึงการทำงานไม่มืออาชีพในการรับมือภาวะวิกฤต

ที่สำคัญ มาตรการสกัดการติดเชื้อ ด้วยการปิดแคมป์คนงานในกทม.และปริมณฑล ที่เป็นแหล่งระบาดร่วม 2 เดือน ในช่วงระลอกสาม โดยให้ทหารเข้าไปคุมแคมป์ที่มีอยู่ 575 แห่ง มีแรงงานประมาณ 8 หมื่นคน เป็นแรงงานข้ามชาติ 70% อีก 30% เป็นชาวไทย รัฐบาลดูแลค่าใช้จ่ายอาหารการกินคนละครึ่งกับนายจ้างเพื่อไม่ให้เคลื่อนย้ายไประบาดต่างจังหวัด มาตรการออกมาเหมือนดูดี แต่กลับกลายเป็นรูรั่ว เพราะไม่คุมเข้มจริงจังตั้งแต่ก่อนประกาศมาตรการแล้ว ทำให้เชื้อกระจาย สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องต่างจังหวัดเพิ่ม

พล.อ.ประยุทธ์ แถลงมาตรการเมื่อเย็นวันศุกร์ที่แล้ว สร้างความตื่นตระหนก จนแรงงานบางส่วนหนีกลับบ้านไปต่างจังหวัด เพราะกลัวถูกกัก ไม่มีงานทำ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯยังรับว่า “มีบ้าง แต่ก็ไม่มาก” ขณะที่ศบค. รายงานเมื่อวันพฤหัสบดี ที่ผ่านมาว่า พบ 32 จังหวัดมียอดติดชื้อเพิ่มมาจากการเคลื่อนย้ายแรงงานในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สะท้อนว่า นี่เป็นมาตรการที่คิดไม่ให้รอบคอบ หวังจะแก้ปัญหาอย่าง แต่ไปสร้างปัญหาอย่าง

คลัสเตอร์แคมป์ก่อสร้างเป็นต้นเหตุของสายพันธุ์เดลต้าที่กระทรวงสาธารณสุข ประกาศพบครั้งแรกที่แคมป์คนงานหลักสี่เมื่อเดือนพ.ค. จนถึงวันนี้เพียงแค่ 2 เดือนกว่า เดลต้ากระจายรวดเร็วทั่วทุกพื้นที่ ข้อมูลวันที่ 20 มิ.ย. พบผู้ติดเชื้อแล้ว 661 รายทั่วประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในกทม.ปริมณฑล โดยเฉพาะภาคอีสานที่พบว่า เป็นผลจากแรงงานแคมป์ก่อสร้างกลับบ้านถิ่นฐานภาคอีสาน

สถานการณ์การระบาดโควิดในต่างจังหวัดยังกระจายตัวอย่างน่าห่วง มีคลัสเตอร์ใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกวัน และเชื่อว่า ยอดผู้ติดเชื้อจะไม่ลดลงแน่ในช่วง 1 เดือน นับจากที่รัฐบาลมีมาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและขอเวลา 1 เดือนในการคุมเชื้อ จนถึงขณะนี้ผ่านมา 1สัปดาห์ไม่มีสัญญาณผู้ติดเชื้อลดลง หลายจังหวัดนอกพื้นที่สีแดง เดิมการแพร่ระบาดไม่น่ากังวล กลับมาเปิดโรงเรียนได้ สุดท้ายพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้น บางจังหวัดต้องทยอยปิดโรงเรียนยกจังหวัด เกิดคลัสเตอร์โรงเรียน คลัสเตอร์เด็กอ่อน เช่น ที่ นครราชสีมา ขอนแก่น การที่คนงานหนีออกจากแคมป์ไปต่างจังหวัด ยิ่งสมทบให้เกิดคลื่นการระบาดระลอกสี่ นึกย้อนไปก็เห็นความล้มเหลวในการคุมเข้มโควิด ทั้งที่ศบค.ก็รับทราบว่า แคมป์ก่อสร้างจุดอันตราย แถลงข่าวอยู่ตลอดประกาศส่งทหารเข้าไปคุมแคมป์ตั้งแต่กลางเดือนพ.ค. จากไม่กี่แคมป์ที่ติดโควิด สุดท้ายก็เอาไม่หยุด กระจายไปอีกหลายแคมป์จนตอนนี้ต้องสั่งปิดทุกแคมป์ เพราะมาตรการคุมเข้ม ไม่จริงจัง ย่อหย่อน ทั้งที่ นายกฯ มีอำนาจเต็ม เข้ามา เทคโอเวอร์ เป็นผอ.ศูนย์โควิด กทม.และปริมณฑล และมีพรก.ฉุกเฉินในมือ แต่กลับปล่อยให้คลัสเตอร์แคมป์คนงานสายพันธุ์เดลต้า เป็นสะเก็ดไฟ ราดน้ำมันให้เชื้อกระจายไปทั่วประเทศ

นี่เป็นโมเดลการแก้ปัญหาที่ไม่เข้มข้น ไม่รัดกุม ไม่ต่างจากรูรั่วตามแนวชายแดนที่รัฐบาลแก้ไม่ตก ทุกวันนี้ยังมีตัวเลขแรงงานข้ามชาติแอบข้ามแดนทุกวัน พบการจ่ายสินบนให้ผู้นำพา การระบาดระลอกสามผ่านมา 3 เดือนมา รัฐบาลแถลงข่าวจับตัวการรายใหญ่ที่ค้าแรงงามข้ามชาติได้เพียงรายเดียว รัฐบาลตั้ง ศบค.ส่วนหน้าดูเรื่องการลักลอบของแรงงามข้ามชาติมาหลายเดือน แต่ก็คืบหน้าอะไร สะท้อนกลไกการแก้ปัญหาที่ล้มเหลวซ้ำซาก

“สายพันธุ์เดลต้า” เป็นศัตรูตัวใหม่ เป็นเชื้อกลายพันธุ์แพร่ระบาดเร็วกว่าแอลฟ่า 40-60% หลายประเทศในตะวันตก ที่ฉีดวัคซีนเกินครึ่งยังต้องกลับมาล็อคดาวน์ใหม่ก็เพราะเจ้าเดลต้า ประเทศไทยก็เช่นกัน กระทรวงสาธารณสุขและ ศบค. คาดการณ์อีก 3 เดือนจากนี้ เดลต้าจะแพร่ระบาดมากและเข้ามาแทนที่เชื้ออัลฟ่าปัจจุบัน แต่เร็วกว่าที่คาด ล่าสุด ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ บอกว่า ตอนนี้เชื้อเดลต้าเข้าครอบคลุมกรุงเทพแล้ว 70%

ผลที่ตามมากระเทือนเป็นลูกโซ่ เป็นสัญญาณวิกฤตขนานแท้ ยอดผู้ติดเชื้อที่จะเพิ่มขึ้นอีก วิกฤตเตียงไอซียู ผู้เสียชีวิตก็มากขึ้นตาม

อาวุธปราบสายพันธุ์เดลต้า คือ วัคซีน ก็ยังมีปัญหา ทั้งประสิทธิภาพและจำนวนวัคซีนที่จะเข้ามาแบบกระพร่องกระแพร่ง หลายคนไม่เชื่อมั่นว่า วัคซีนตัวหลักของไทยที่มีเพียง 2 ตัว ซิโนแวค กับ แอสตร้าเซเนก้า โดยเฉพาะซิโนแวคจะสกัดสายพันธุ์เดลต้าได้ แม้จะฉีดสองเข็มก็ตาม แต่ก็ไม่มีทางเลือกเหลืออื่น ส่วนแอสตร้าฯแม้จะช่วยได้ แต่ก็ไม่มาตามนัด กระทบถึงการฉีดที่ล่าช้าไม่ทันต่อสายพันธุ์เดลต้าที่กำลังลุกลาม เพราะนโยบายรัฐบาลที่ประมาทในการจัดหาวัคซีนทางเลือกล่าช้า จึงไม่สามารถรบกับไวรัสโควิดที่กลายพันธุ์ได้

ความหวังตอนนี้ คือ วัคซีนแอสตร้า 1 เดือนที่ผ่านมานับจากการคิกออฟปูพรมต้นเดือนมิ.ย เห็นแล้วว่า มีเป็นปัญหาการส่งมอบวัคซีนไม่ทัน ในเดือนมิ.ย. รัฐบาลประกาศจะมีแอสตร้ามา 6 ล้านโดส แม้บริษัทจะส่งมอบจริงสิ้นเดือนครบ 6 ล้านโดส แต่ก็มากระชั้นชิดในช่วงปลายเดือน สาหัสกว่านั้นคือ ผอ.สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ออกมารับว่า ความหวังที่จะได้ 10 ล้านโดสในเดือน ก.ค. ต้องเลือนลาง เพราะบริษัทจัดให้ไทยได้แค่ 5-6 ล้านโดส ต้องกระจายไปยังประเทศอื่นเหมือนกัน

ความไม่แน่นอนในจำนวนการส่งมอบนี้ เป็นปัญหาความเชื่อมั่น หลายคนเรียกร้องให้รัฐบาลบอกความจริงกับประชาชน เปิดสัญญาที่ทำกับบริษัท หากส่งมอบไม่ทันจะทำอย่างไร การจัดวัคซีนทางเลือก ที่ประชาชนไม่ดิ้นรนจองกันเองผ่านโรงพยาบาลเอกชน ก็พบทางตัน มาได้ก็ไตรมาสสี่ หรือ เร็วสุดต้นเดือนต.ค. ทุกอย่างรวนเป็นลูกโซ่

การระบาดที่ยังพุ่งขึ้น ประชาชนวิตกกังวลจะรับมือและใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร แผนเปิดประเทศภายใน 120 วันในเดือนก.ย.- ต.ค. แผนกทม.เปิดเมืองในปลายเดือน ก.ค. เพราะตั้งเป้าจะฉีดได้ครบ 5 ล้านโดส กระทั่ง แผนประกาศชัยชนะ สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศในสิ้นปีนี้ แต่ปัจจัย ตัวแปร ความสามารถของรัฐบาลในการรับมือที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เป้าหมายเหล่านี้ช่างดูห่างไกลเสียจริง