posttoday

"ผมเชื่อในอำนาจประชาชน ไม่เชื่อในอำนาจพิเศษ" ภูมิธรรม เวชยชัย

02 ธันวาคม 2561

"ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เชื่อมั่นว่า สุดท้ายการเลือกตั้งจะอยู่ที่อำนาจของประชาชน และอำนาจพิเศษจะไม่สามารถเปลี่ยนใจประชาชนได้

"ภูมิธรรม เวชยชัย" เลขาธิการพรรคเพื่อไทย เชื่อมั่นว่า สุดท้ายการเลือกตั้งจะอยู่ที่อำนาจของประชาชน และอำนาจพิเศษจะไม่สามารถเปลี่ยนใจประชาชนได้

***********************************

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

สถานการณ์ของพรรคเพื่อไทยเริ่มไม่สู้ดีหลังถูกมรสุมดูดถาโถมรุนแรง ซ้ำเติมกับยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันที่สุ่มเสี่ยงอาจทำให้ฐานเสียงที่เคยเข้มแข็งต้องอ่อนแอลงไปจนอาจส่งผลต่อจำนวนเก้าอี้ สส.ในการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น

ภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ไม่เป็นปัญหากับพรรคเพื่อไทยมากนัก ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าสืบเนื่องมาจากผลิตผลการออกแบบรัฐธรรมนูญ กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายเลือกตั้งด้วยความคาดหวังไม่อยากเห็นพรรคการเมืองมีการพัฒนาเข้มแข็งเติบโต

ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบให้เกิดพรรคเล็กพรรคน้อยพรรคย่อยพรรคกลางเต็มไปหมด ไม่ต้องการให้พรรคการเมืองเข้มแข็งมากเกินไป เพื่อผู้มีอำนาจจะได้ดำรงอำนาจตัวเองอยู่ได้ และสามารถต่อกรพรรคการเมืองได้อย่างเข้มแข็ง แต่พรรคเพื่อไทยไม่ใช่พรรคเพิ่งเกิด มีความเป็นสถาบันของพรรคการเมืองมีความต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มก่อตั้งปี 2541 ถึงวันนี้ 20 ปีแล้ว

“เป็นการเติบโตขึ้นท่ามกลางการต่อสู้วิกฤตการณ์ต่างๆ ที่ถูกกระทำมาตลอดเวลา เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยหรือไทยรักไทยเป็นต้นไม้เติบใหญ่เข้มแข็งฝ่าพายุ อุปสรรคต่างๆ ผ่านการยุบพรรคมา 2 ครั้งตัดสิทธิกรรมการบริหารทำลายบั่นทอนให้มีพลังอ่อนด้อยลง แต่สิ่งหนึ่งที่เขาบั่นทอนไม่ได้ คือฐานประชาชนที่ให้การสนับสนุนเพื่อไทยจนได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งที่ผ่านมา 20 ปี”

ภูมิธรรม กล่าวว่า ประชาชนตื่นตัวรับรู้เรื่องราวข่าวสารมากมาย รับรู้ว่าเพื่อไทยคิดทำและตอบสนองประชาชนอย่างไร และถูกกระทำอย่างไร แต่ประชาชนก็ยังเข้าใจ โอบอุ้มเพื่อไทย ชี้ให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยยืนอยู่ข้างประชาชน “ฆ่าไม่ได้ทำลายไม่หมด” ตรงนี้จึงไม่เกิดปัญหาอะไรมาก

“ในความเป็นจริงการใช้พลังดูดครั้งนี้ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เพิ่งเริ่มทำ แต่ทำมาหลายเดือนช่วงที่พยายามดึงนักการเมืองเราออกไป แต่ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าไหร่เพราะฐานประชาชนแข็งแรง นักการเมืองต้องรู้ว่า การเลือกอยู่เพื่อไทยเป็นหนทางที่เป็นประโยชน์นำไปสู่ชัยชนะเลือกตั้งได้ดีกว่า สิ่งที่ผู้มีอำนาจพยายามทำจึงไม่สามารถทำอะไรได้”

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ชี้แจงว่า หากพิจารณาข้อมูลจากการเลือกตั้งล่าสุด 2554 มีอดีต สส.ที่ตัดสินใจย้ายออกจากพรรคประมาณ 28 คน ที่ต้องนับเช่นนี้เพราะบางคนเริ่มนับตั้งแต่ตั้งพรรคปี 2541 จนมี สส.ย้ายออกไปเป็น 100 คนทั้งที่บางคนไม่ได้ทำงานกับพรรคมา 20 ปี หรือหลายคนหมดบทบาทการเมืองไปแล้วเพิ่งถูกดึงขึ้นมาใหม่

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจากประวัติศาสตร์การเมืองไทยมีคนเปลี่ยนแปลงโยกย้ายพรรคไปแล้วไม่ได้กลับเข้าสภาถึง 20-30% และมี สส.หน้าใหม่เข้ามา เราผ่านประสบการณ์เช่นนี้มาตั้งแต่ไทยรักไทย เคยมีการเลือก สส.หน้าใหม่ล้วนๆ หรือที่เรียกว่านกแล มาสู้ 120 คนเข้าสภามาหมดล้มช้างมาหมด

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่านักการเมืองที่ออกไปแต่ละคนมีคะแนน สส.ติดตัว แต่เหนืออื่นใดคือระบบพรรคการเมืองที่พัฒนาต่อเนื่องมาถึง 20 ปี คราวนี้การเลือกตั้งเป็นบัตรเดียว แม้จะชอบคนนั้นคนนี้ส่วนตัว แต่เลือก สส.ไปหนึ่งคนไม่สามารถทำอะไรได้ หากไม่ใช่ สส.ที่สังกัดพรรคซึ่งตอบโจทย์เขา ดังนั้นการที่ สส.หนึ่งคน ย้ายฟากไม่ได้หมายความว่าจะโยกคะแนนติดตัวไปด้วย โดยเชื่อว่าเราจะได้ที่นั่งของเราที่สูญเสียไปจากถูกกระชากลากดึงของผู้มีอำนาจคืนไปเกือบทั้งหมด

“หัวใจเรื่องนี้อยู่ที่พรรคการเมืองเข้มแข็งมีแบรนด์น่าเชื่อถือ พี่น้องประชาชนให้ความไว้วางใจหรือเปล่า อดีตถึงปัจจุบัน เพื่อไทยได้รับการยอมรับจากพี่น้องประชาชนมีตัวแทนที่เข้าใจปัญหาพี่น้องประชาชนอย่างดี พูดอะไรตรงใจตรงประเด็นเพราะรู้ปัญหา เข้าถึงปัญหา มีทางออก”

นอกจากนี้ สิ่งที่ประชาชนเผชิญใน 5 ปีที่ผ่านมาชีวิตเขาเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นหรือไม่ สิ่งที่บอกเขาคือเศรษฐกิจดี จีดีพีสูง แต่สวนทางกับที่ประกาศคือเขาเอามือตบกระเป๋าไม่มีเงิน กำลังซื้อตก เศรษฐกิจซบเซา รัฐบาลนี้ไม่ตอบโจทย์เขา พรรคพลังประชารัฐซึ่งคล้ายเป็นฝ่ายรัฐบาล จึงต้องประสบความยากลำบาก

“โดยรวมเราไม่หนักใจ แต่เราก็ต้องไม่ประมาท ทำงานให้เต็มที่หลายคนเคยทำงานการเมืองในพื้นที่มานาน มีเครือข่าย แต่ผมคิดว่าวันนี้พัฒนาการทางความคิดในเขตเลือกตั้งต่างๆ ซึ่งมองเลยไปจากตัวคนคนหนึ่ง ไปสู่การเลือกแนวนโยบายที่เป็นทิศทางใหญ่ นโยบายอะไรตอบสนองเขาได้ ที่สุดเขาจะเลือกพรรคที่ตอบสนองมีนโยบายแก้ปัญหาระยะยาว”

ภูมิธรรม มองว่า ยุทธศาสตร์แตกแบงก์พันจะไม่ทำให้พรรคอ่อนแอลงเหมือนกับที่หลายคนประเมิน เพราะประชาชนเข้าใจว่ามาจากผู้มีอำนาจออกแบบรัฐธรรมนูญ ซึ่งเขารู้ว่าพรรคไหนบ้างยืนอยู่ฝ่ายสนับสนุนการมีอำนาจของผู้มีอำนาจปัจจุบัน ฝ่ายไหนสนับสนุนประชาธิปไตย ถ้าเขาเชื่อว่าประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือสำคัญเปลี่ยนแปลงชีวิตให้ดีขึ้น เขาก็จะตัดสินใจเลือกสนับสนุนพรรค สนับสนุนประชาธิปไตย

อย่างไรก็ตาม ในแต่ละพื้นที่อาจมีพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยพรรคอื่นทำหน้าที่ ประชาชนก็จะตัดสินใจ เหมือนมนุษย์ทั่วไป บางคนอาจจะชอบคนหนึ่งมากกว่าเพราะรู้สึกเข้ากันได้ ดังนั้นการตัดสินใจที่แตกต่างกันไป รสนิยมความพอใจของแต่ละคนและไม่สร้างความสับสนเพราะประชาชนมีวิจารณญาณ เขารู้ว่าในพื้นที่การตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองไหน ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตเขาหรือชุมชนเขา

เลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า สำหรับยุทธศาสตร์การหาเสียงแต่ละพรรคก็จะมียุทธศาสตร์ของตัวเอง ส่วนการวางตัวผู้สมัคร สส.นั้นตอบแทนพรรคอื่นไม่ได้ แต่เพื่อไทยพื้นที่ไหนพร้อมเราก็ส่งทุกที่ไม่มีปัญหา โดยจะพยายามส่งให้เต็มที่มากสุด ซึ่งการส่งผู้สมัครไม่ได้อยู่ที่ความต้องการเราฝ่ายเดียว ต้องอยู่ที่พี่น้องประชาชนหรือมีผู้สนใจการเมืองอาสาหรือไม่ เราต้องคัดให้ได้คนที่ตอบโจทย์พี่น้องประชาชนได้ดีที่สุด

"ผมเชื่อในอำนาจประชาชน ไม่เชื่อในอำนาจพิเศษ" ภูมิธรรม เวชยชัย

ถามว่าการแข่งกันเองระหว่างพรรคแบงก์พันแบงก์ร้อยอาจทำให้ตาอยู่แทรกตัวมาเอาชนะในพื้นที่นั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า ในการเลือกตั้งนักการเมืองที่ดีไม่ควรคิดรายละเอียดจุกจิก เรามีหน้าที่เสนอตัวเราให้ดีสุด คิดอะไรมีอุดมการณ์แบบไหนในการแก้ปัญหาประชาชน สุดท้ายประชาชนเป็นคนตัดสินใจ

ส่วนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจนมีการออกมาดักคอว่าอย่าผลักมิตรไปเป็นศัตรูนั้น ภูมิธรรม มองว่า อย่างน้อยก็สะท้อนให้เห็นเจตนารมณ์ที่ดีต่อกัน เราต่อสู้กันในกระบวนการประชาธิปไตย ต้องระมัดระวังตัวในการแข่งขันพิสูจน์ตัวเองให้ประชาชนได้ตัดสินใจ ไม่ถึงขนาดมองกันเป็นศัตรูทำลายล้างกัน ไม่สร้างสรรค์ ฟังอย่างนี้แล้วยิ่งน่าสบายใจ

ภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่หนักใจกับการอัดนโยบายซื้อใจประชาชนช่วงนี้ แต่อีกด้านหนึ่งได้พิสูจน์ให้เห็นว่า สิ่งที่เขาเคยวิพากษ์วิจารณ์นักการเมืองตลอดแสดงว่าอาจไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่ทำตาม หรือเขาอยากจะเอาชนะเพื่อให้ได้เข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ มีอำนาจใหม่โดยไม่คำนึงสิ่งนั้นถูกหรือผิด ซึ่งเขาเองน่าจะเป็นคนตอบโจทย์นี้ยากกว่าเรา

นอกจากนี้ การที่เขาเริ่มใช้วิธีจำหน่ายจ่ายแจกเต็มที่เลียนแบบสิ่งที่หลายคนเคยทำ สะท้อนให้เห็นว่า การที่แถลงที่ผ่านมาว่าประสบความสำเร็จตลอด 4-5 ปี ตรงข้ามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น เขาถึงต้องโน้มน้าวซื้อความนิยม แต่สิ่งที่น่ากังวลใจคือ สิ่งที่รัฐบาลกำลังทำ หรือผู้มีอำนาจกำลังทำคือการหยิบเอาเงินในอนาคต ภาษีประชาชนมาใช้ตอบสนองการได้ความนิยมของประชาชน เพียงเพื่อหวังว่าตัวเองจะได้เข้าสู่อำนาจอีกครั้ง

“ทั้งหมดสะท้อนความอับจน หรือไม่มีทางเลือกอื่นที่จะมาดึงความนิยมจากประชาชน ไม่สามารถใช้ผลงานในอดีตที่สะสมมา 4 -5 ปีสร้างการยอมรับ หยิบเอาเงินมหาศาล เงินกู้ เงินคงคลังเงินอนาคตบ้างมาใช้สร้างความนิยมให้ประชาชน เป็นการใช้เงินระยะสั้นไม่ได้หวังผลระยะยาวไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ”

ถามว่าเพื่อไทยจะมีนโยบายอะไรไปแข่ง ภูมิธรรม กล่าวว่า สิ่งที่ประชาชนได้รับคงต้องบอกว่าเราเห็นด้วยกับหลักการที่ประชาชนมีทรัพยากรมากขึ้น แต่หากเลือกเรา เรามีทางออก เพื่อไทยมีประสบการณ์ ความสามารถ มีศักยภาพการแก้ปัญหาประชาชน

ล่าสุดกับการแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่นั้น ภูมิธรรม กล่าวว่า การแบ่งเขตเลือกตั้งเป็นรูปธรรมสะท้อนข้อกล่าวหาวิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาล กลุ่มผู้มีอำนาจที่ชัดเจนว่ามีการใช้อำนาจบิดเบือนการตัดสินใจที่เคยกระทำการมาแล้วผ่านการประชามติมาแล้วให้มีการเปลี่ยนแปลง

“เห็นได้ชัดว่าเขตพื้นที่ที่คนของเราเคยถูกทาบทามไปแต่ไม่ยอมไปนั้น ได้รับผลกระทบคือการผ่าเขตย่อยๆ ค่อนข้างมาก บางคนถูกโน้มน้าวตัดสินใจดึงไปได้ ก็แบ่งเขตเอื้ออำนวยมากกว่า สะท้อนให้เห็นชัดเจน แต่ผมคิดว่ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจผิดพลาดอย่างหนึ่งคือประเมินศักยภาพและพลังของพี่น้องประชาชนต่ำไป การใช้ความเชี่ยวชาญแบ่งเขตเลือกตั้งเอื้อประโยชน์กลุ่มของตนจะเป็นปัจจัยชี้ขาด ประชาชนไทยไม่ชอบคนที่ชอบใช้เล่ห์เพทุบาย เอาเปรียบและสร้างความไม่ยุติธรรมกับคนอื่น”

ถามว่าเป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจพิเศษของ คสช.ในช่วงการเลือกตั้งหรือไม่ ภูมิธรรม กล่าวว่า “ผมเชื่อในอำนาจประชาชนไม่เชื่ออำนาจพิเศษ ซึ่งมีมุมอันจำกัดหลายเรื่อง อำนาจพิเศษแก้ปัญหาไม่ได้ สุดท้ายจะอยู่ที่จิตใจประชาชนว่าคิดหรือตัดสินใจอย่างไร อำนาจพิเศษไม่สามารถเปลี่ยนใจพี่น้องประชาชนได้”