posttoday

"อย่าใจร้อนไม่งั้นจะเป็นเหมือนผม"อุทาหรณ์จากความขาดสติ ดีเจเก่ง-ภัทรศักดิ์

07 ธันวาคม 2559

เมื่ออารมณ์ร้อนพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ"ดีเจเก่ง เกียร์R-ภัทรศักดิ์ เทียมประเสริฐ"

เรื่อง...อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ...กฤษณ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร

เที่ยงตรง ณ ศาลา 4 วัดบัวขวัญ จ.นนทบุรี ชายหญิงสี่ห้าคนแต่งชุดดำไว้ทุกข์นั่งล้อมวงกินข้าวกันเงียบๆ ภายในศาลาประดับประดาพวงหรีดดอกไม้ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หุ่นสมาร์ท พร้อมเพื่อนอีกคน ช่วยกันยกโลงศพขึ้นไปตั้งไว้ด้วยความระมัดระวัง สีหน้าสงบเสงี่ยม เสร็จแล้วจึงเดินลงมาทักทายด้วยรอยยิ้มบางๆ

ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี 2559 คนไทยทั้งประเทศยังคงจำกันได้กับชายที่ชื่อ  ดีเจเก่ง-ภัทรศักดิ์ เทียมประเสริฐ อดีตดีเจคลื่นวิทยุชื่อดัง ผู้ก่อเหตุถอยรถกระบะชนคู่กรณีหลังกระทบกระทั่งกัน เนื่องจากขับรถเบียดกันไปเบียดกันมา บริเวณถนนมิตรไมตรี เขตดินแดง กทม.

คลิปสั้นๆที่ถูกเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ทำให้ "ดีเจเก่ง เกียร์R" ถูกสังคมประณามถล่มจมดิน ถูกยึดรถพร้อมใบขับขี่ ถูกดำเนินคดีข้อหาหนัก ทั้งยังต้องตกงาน แยกทางกับภรรยา เรียกว่าชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือชั่วข้ามคืน

วันนี้ ผ่านไปกว่า 11 เดือน หลังกระแสข่าวสร่างซาลง เขาตัดสินใจออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอีกครั้ง เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงที่คนส่วนใหญ่ไม่ทราบ และต้องการนำประสบการณ์ความผิดพลาดของตัวเองมาเป็นอุทาหรณ์ให้แก่สังคม

ช่วยเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์วันนั้นอีกครั้ง

วันเกิดเหตุ ผมกำลังจะเอาเครื่องเสียงของคลื่นวิทยุที่เป็นดีเจอยู่ไปซ่อม แล้วกะว่าจะไปเยี่ยมอาจารย์ที่ศูนย์ฝึกอาชีพดินแดง เพราะผมเคยเรียนตัดผมกับแก ตัดผมให้คนที่ไม่มีเงินฟรีมาหลายปีแล้ว

ตอนนั้นขับรถไปถึงช่วงเลี้ยวเข้าถนนมิตรไมตรี เจอรถติด ผมก็ขับต่อๆแถวกันไป พอถึงช่วงทางโค้ง ก็สังเกตเห็นรถยาริสสีแดงคันหนึ่งเปิดเลนใหม่ ซึ่งช่องทางนั้นเป็นเลนสวน พูดง่ายๆคือ เขาพยายามจะเข้ามาแทรก ผมรู้สึกว่ามันไม่ถูกกฎจราจร เลยไม่ยอมให้เข้า หลังจากนั้นก็เกิดการเบียดกันไปเบียดกันมา ผมก็ไม่ยอมอยู่แล้ว เพราะขับมาในเลนตัวเอง พอเข้าไม่ได้ เขาก็มาต่อท้ายผม จากนั้นจากภาพที่ปรากฎในกล้องวงจรปิดของกทม.คือ คนขับยาริสสีแดงเปิดประตู วิ่งลงมาทุบกระจกประตูรถผม 1 ครั้ง

ทุบแรงมาก ถ้าไม่ติดฟิล์มกระจกคงแตกแน่ๆ ผมนึกในใจ ---ใหญ่มาจากไหนวะเนี่ย รถผมก็เหมือนบ้าน ใครมาทุบบ้านเราเราก็ไม่ยอม แต่ผมยังไม่กล้าลง เพราะไม่แน่ใจว่าเขาเอาอะไรลงมาด้วยรึเปล่า ก็กลัวอันตรายเหมือนกัน

หลังจากนั้นเขาก็วิ่งไปที่รถ ผมก็ใจคอไม่ดี พอเขาขึ้นรถ ผมก็ถอยรถโดยไม่ได้หันไปมอง ถอยชนรถเขาไป 1 ที แล้วฉีกออกซ้าย เพราะคิดว่าขืนอยู่ไปไม่ปลอดภัยแน่ ปรากฎว่าเขาขับตามมา กล้องวงจรปิดของกทม.เห็นเลยว่า ท้ายรถยาริสกระตุก ซึ่งถ้าเหยียบเบรค ไฟเบรคจะขึ้น แต่นี่ไฟเบรคไม่ขึ้น แต่ท้ายรถกระตุก นั่นแสดงว่าโดนอะไรอยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ รถผม เขาชนท้ายรถผม ผมโดนทั้งเบียด โดนทั้งทุบรถ โดนทั้งชนท้าย ผมก็ไม่ไหว ขาดสติ โมโหจัด เลยถอยไปชนเขา 2 ที

จะบอกว่าเหตุการณ์ทั้งหมดมันมีมากกว่าที่เห็นในคลิป

ใช่ครับ ภาพที่เห็นในคลิปนั้นตอนท้ายๆแล้ว

ผมยอมรับว่าขาดสติ ผมถือประแจลงเพื่อป้องกันตัว เพราะผมไม่รู้ว่าเขาพกอะไรมาบ้าง ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยเลยคว้าประแจที่อยู่ประตูฝั่งขวาลงมา ตอนนั้นในมือผมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจอยู่เลย ผมโทรไปแจ้ง 191 ว่าเกิดเหตุขึ้น ตำรวจถึงได้มา ในคลิปที่ผมตะโกนว่า"จะทำไมๆ" นั่นคือผมขู่เขา ถ้าคนจะฟาดจริงๆเขาฟาดไปแล้ว แต่ผมมีแม่ต้องดูแล มีครอบครัว คงไม่กล้าทำอย่างนั้น และที่ผมเคยบอกว่าพี่วินมอเตอร์ไซค์มาช่วย ผมถึงรอด ลองคิดดูนะครับตามหลักแล้ว คนถือประแจ ถ้าคนจะเข้ามาช่วย เขาต้องกันคนที่มีอาวุธ แต่นี่พี่วินเอาตัวคนขับยาริสออกไปจากรถผม ซึ่งมันดูได้อยู่แล้วว่าผมไม่มีเจตนาจะทำร้ายเขา

แต่จังหวะที่เป็นปัญหาในคลิปคือเราถอยไปชนเขา แล้วโกหกว่าเขาขับชนเรา

หลังเกิดเหตุ คนที่มาถ่ายคลิปเขายังโทรมาหาผมเองเลยว่า ขอโทษด้วยนะที่ถ่ายไว้ไม่หมด อัดไม่หมด ผมก็บอกไม่เป็นไรครับ แต่อนาคตผมพังไปแล้ว

ผมไม่โกรธเขาหรอก ตอนนั้นมันเป็นตอนท้ายเรื่องแล้ว แต่ตอนแรกๆที่มีเรื่องกันมาก่อน ถ้าไม่มีกล้องวงจรปิดของกทม.ผมก็แย่เหมือนกัน

ทำไมถึงไม่ออกมาค้านตั้งแต่ช่วงแรกๆ

ผมมีแม่ต้องดูแล ผมมีลูก 2 คน บ้านผมมีแต่ผู้หญิง เลยไม่อยากจะมีเรื่องกับใคร ตอนนั้นแม่ผมบอกว่าถ้ายอมเขาได้ก็ยอมไป ให้เรื่องมันจบ พอผมยอม คนก็ไม่เข้าใจ มาคอมเมนต์ด่าเสียๆหายๆ

มารู้ตอนไหนว่าโลกโซเชียลเล่นงานเราแล้ว 

พอมาถึงสน.ดินแดง ในเฟซบุ๊กก็เริ่มลงคลิปผมแล้ว ด่ากันใหญ่เลย

แต่เรื่องที่คนไม่รู้คือ พอถึงสน.ปุ๊บ คนขับยาริสเขายอมความเลย มันน่าแปลกไหมครับว่า ผมไปชนเขาขนาดนั้น แต่พอไปถึงสน.เขายอมความให้ผมเลย เขายอมเพราะเขาเป็นฝ่ายมาหาเรื่อง ผมก็โอเค จบก็จบ แต่เผอิญคลิปมันออกไปอย่างนั้น ก็เลยเป็นกระแส ตอนนั้นครอบครัวของผมเดือดร้อนมาก ได้รับผลกระทบ แถมพูดไปคนก็ไม่เชื่อ ทั้งที่ผมมีหลักฐาน มีพยานบุคคล

วันนั้นในที่เกิดเหตุ รถผมอยู่ข้างหน้า รถยาริสสีแดงอยู่ข้างหลัง หลังยาริสสีแดงมีแท็กซี่อีกคันหนึ่ง ในนั้นมีผู้หญิงท้องกับคนขับแท็กซี่ เขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด แต่พอเขาไปชี้แจงในเฟซบุ๊ก กลับโดนคอมเมนต์ถล่มด่าเสียๆหายๆทั้งที่เป็นผู้หญิงท้อง ตอนหลังได้ข่าวว่าเขาไปแจ้งความข้อหาหมิ่นประมาทไว้ด้วย

กระแสโซเชียลมันแรงมาก ผมก็ดูอยู่ตลอด ผมขอที่บ้านชี้แจง ที่บ้านบอกว่าอย่าไปพูดเลย ให้มันจบๆไปเถอะ ผมเป็นคนเชื่อฟังแม่และต้องดูแลครอบครัว สุดท้ายก็ต้องยอม

ตอนออกมาแถลงข่าวแล้วร้องไห้ วินาทีนั้นรู้สึกอย่างไร

อารมณ์ตอนนั้นอยากจะชี้แจง แต่แม่ขอไว้ เราก็ต้องทำให้ครอบครัว ต้องยอมรับสภาพ เพื่อไม่ให้ไปมีผลกระทบกับคนอื่น

"อย่าใจร้อนไม่งั้นจะเป็นเหมือนผม"อุทาหรณ์จากความขาดสติ ดีเจเก่ง-ภัทรศักดิ์

รู้สึกยังไงกับในวันที่โดนโลกโซเชียลถล่มหนักๆ

อยากจะบอกพวกเขาว่า เดี๋ยวนี้ การจะลงคลิปอะไรไปสักคลิปนึง คนในเน็ตเขาไม่โง่แล้วนะครับ

ยกตัวอย่างเคสผม มีคนลงคลิปไปปุ๊บ คนก็ดูแต่คลิปช่วงท้ายๆ พอมารู้ทีหลังว่าเฮ้ย เขามีคลิปเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ก็มีคนมาชี้แจงว่าเฮ้ย รู้รึเปล่าว่าก่อนหน้านั้นเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวนี้เขามีวิจารณญาณ มีความคิดวิเคราะห์ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าเป็นเคสที่มีคลิปให้เห็นตั้งแต่ต้นจนจบนั่นก็เรื่องนึง แต่เคสผมมันไปปรากฎแค่ตอนท้าย คนเลยเข้าใจผิดกันไปไกล

วันแรกคนดูคลิปผม 5 แสน วันที่สอง 10 ล้าน วันที่สามที่ไปทั่วประเทศเลย เขาคอมเมนต์อะไรกันเรียบร้อย ตัดสินกันไปแล้ว กล้องวงจรปิดของกทม.เพิ่งจะออกมาทีหลัง ทุกคนเลยอ๋อ มันเกิดเหตุการณ์อย่างนี้นี่เอง ไม่มีหรอกครับที่อยู่ดีๆจะถอยไปชนคนอื่นขนาดนั้น

ตอนที่เจ็บปวดที่สุด โดนด่าว่าอะไร

ด่าถึงพ่อแม่ ด่าถึงนามสกุล ด่าโรงเรียน ด่าคนที่ผมรัก ซึ่งไม่เกี่ยว ผมเป็นคนสร้างเรื่องขึ้นมา จะด่าอะไรก็ด่ามาที่ผม คนอื่นไม่เกี่ยว

เฟซบุ๊กผมปลิวไปตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่องแล้ว โดนรีพอร์ต แต่มีคนสร้างเฟซปลอมผมขึ้นมาใหม่เป็นสิบๆเพจเลย สร้างขึ้นมาด่าโดยเฉพาะ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาไม่คิดเลยว่าผมไปสน.ไปให้ปากคำอยู่ตลอด คงไม่มีเวลาไปตอบเมนต์ทุกคนหรอก

โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้น ถ้าเกิดเราใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ดี แต่ถ้าใช้ในทางที่ผิดมันก็แย่มาก เหมือนกับเราโพสต์เรื่องของคนอื่นลงไป ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องจริงไหม มันก็เหมือนไปทำบาปให้คนอื่นแล้ว

ชีวิตหลังจากนั้นได้รับผลกระทบยังไงบ้าง

เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยครับ จากคนที่มีงานทำ มีภาระที่ต้องดูแลมากมายหลายอย่าง มีพิธีกร ดีเจ งานอีเวนท์ ก็ตกงาน อยู่กับบ้าน พี่ๆเขาบอกให้พักงานก่อน เขาเข้าใจเรานะครับ ผมทำงานดีเจมา 9 ปี ผมอยากจะชี้แจงบอก "พี่ รอผมหน่อย ขอให้ครอบครัวผมพร้อมก่อน แล้วเดี๋ยวผมออกมาแน่" แต่ครอบครัวผมยืนยันว่าไม่ต้องแล้ว ให้เรื่องมันจบๆไป

เรื่องแยกทางภรรยา พอเกิดเรื่อง ความคิดเรามันสวนทางกัน มันมีผลกระทบต่องานของเขา ต่อเพื่อนของเขา ก็เลยจบดีกว่า ตอนนี้ผมมีลูกสองคน คนโต 5 ขวบ คนเล็ก 1 ขวบกับอีก 3 เดือน ตอนแรกก็กลัวว่าจะมีผลกระทบกับเขาตอนไปโรงเรียน ปรากฎว่าพ่อแม่ผู้ปกครองของเพื่อนลูกเขามีการศึกษา มีความคิด วิเคราะห์ มีเหตุผลแยกแยะ เขาเข้าใจเรื่องราวมันเป็นยังไง พ่อส่วนพ่อ ลูกก็ส่วนลูก เขาก็มาพูดกับผมดี

ถามว่าเสียใจไหม คือเราโตๆกันแล้ว สำคัญที่สุดคือ ต้องช่วยกันดูแลลูก ลูกผมเป็นลมชัก ชักวันละ 7 รอบ ชักแล้วตัวเขียว นี่ยังไม่ทราบสาเหตุ แต่ค่าใช้จ่ายสูงมาก ผมเลยต้องทำเพื่อเขา แม่ผมเป็นโรคกระดูกคอเสื่อม เป็นความดันด้วย ผมเลยต้องดูแลเขา ตอนนี้อยู่กับแม่ที่ซอยสามัคคี

ช่วงแรกๆแม่ผมโดนคนโทรเข้ามาต่อว่าว่าเลี้ยงลูกยังไงให้เป็นแบบนี้ ไม่รู้เขาเอาเบอร์มาจากไหน แม่ผมอธิบายไปว่า คุณดูแค่นั้นคุณตัดสินแล้วเหรอว่าลูกฉันเป็นคนยังไง คนมันขาดสติ ทำอะไรก็ได้ ทำอะไรไปไม่คิด

ส่วนเพื่อนฝูงให้กำลังใจดีมากครับ ให้กำลังใจตลอดเวลา ทั้งเพื่อนสมัยเรียนช่างกล มัธยม มหาวิทยาลัย ทุกคนให้กำลังใจผมหมด ไม่มีใครว่าอะไรเลย เขารู้นิสัยผมดี พ่อผมเป็นทหารเขาสอนตลอดว่า ห้ามไปรังแกใคร แต่ใครมารังแกก่อนค่อยสู้ เวลาดูข่าวขับรถปาดไปปาดมาแล้วตีกันก็บอกเสมอว่า ถ้าเลี่ยงได้ก็เลี่ยง ผมก็ยอมมาตลอดนะ แต่คนเรามันมีขีดจำกัด

ช่วงเกิดเรื่องใหม่ๆกล้าออกนอกบ้านไหม

ช่วงเกิดเรื่องใหม่ๆ ผมหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน 2-3 อาทิตย์ แม่ก็เป็นห่วง เพราะผมเป็นคนคิดเยอะ เครียด ฟุ้งซ่านมาก ตอนนั้นที่ถอยไปผมสำนึกนะ แต่ใจนึงก็อยากจะชี้แจงว่า เรื่องเกิดขึ้นเพราะโดนยั่วยุ มันถึงขีดสุดจริงๆถึงทำลงไปอย่างนั้น

พอจะออกจากบ้านก็กลัวว่าชาวบ้านเขาจะไม่เข้าใจ ก็ลองเดินออกไปดู ปกติครับ เพื่อนบ้านทักทาย พูดคุยให้กำลังใจ ทีนี้ผมเลยลองเดินไปตลาด ก็มีคนมาขอถ่ายรูป เขาบอกหนูเข้าใจ หนูเห็นคลิปทั้งหมดแล้ว 

เห็นว่าถึงขั้นบวชเลย

ผมบวชช่วงเดือนเมษายน บวชนานครึ่งเดือน พระที่นี่ก็ขัดเกลาจิตใจ สอนผมว่า สิ่งที่ไม่ดี ใครคิดไม่ดี ทำไม่ดีกับเรา มันจะเข้าตัวเขาเอง สิ่งที่ดีๆ เขาคิดดี พูดดี ทำดีกับเรา มันก็เข้าตัวเขาเอง เพราะฉะนั้นเธอไม่ต้องทำอะไรเลย ตามหลักพุทธศาสนาคือเราต้องวางเฉย อุเบกขา

ถึงวันนี้ ไม่โกรธ ไม่แค้นเลยสักนิดเดียว ผมปลง ผมไปช่วยงานวัดทุกวัน มีอยู่ครั้งหนึ่้งไปช่วยยกศพขึ้นศาลา ลูกสาวคนตายเขาจำผมได้ ก็มองว่าผมจะทำอะไร ไปยกศพพ่อแม่เขา พอเขาเห็นผมยกศพพ่อเขา ทำให้ฟรี ไม่เคยเรียกร้องเงิน เสร็จแล้วเขามานั่งคุยกับผม ผมก็เอาหลักฐานให้ดู เขายกมือไหว้เลยบอกว่า หนูขอโทษค่ะ หนูฟังแต่สื่ออย่างเดียว ไม่เห็นพี่ออกมาชี้แจงอะไรเลย ผมก็บอกว่าผมห่วงครอบครัว

ผ่านช่วงเลวร้ายมาได้อย่างไร

ผ่านมาได้เพราะคนที่ผมรัก แม่ให้กำลังใจผมตลอด ครอบครัวให้กำลังใจ เพื่อนฝูงให้กำลังใจ เท่านี้ผมก็อยู่ได้แล้ว ถ้าไม่มีใครเข้าใจ ผมก็คงแย่ แต่ทางเข้าย่อมมีทางออก ถ้าเรากลับตัวได้ แล้วเราขอความเห็นใจต่อสังคม และสังคมให้อภัย ผมว่าอยู่ได้นะ ชีวิตเราต้องดำเนินต่อไป

ผมยังอยากได้รับโอกาสกลับไปทำงานที่ตัวเองรักอีกครั้ง นั่นคือ งานดีเจ  พิธีกร ผมทำมานานมาก ผมมีความสุข หน้าที่ดีเจคือให้ความสุขกับทุกคน ถ้ามีโอกาสผมก็อยากกลับไปทำอีกครั้งครับ

"อย่าใจร้อนไม่งั้นจะเป็นเหมือนผม"อุทาหรณ์จากความขาดสติ ดีเจเก่ง-ภัทรศักดิ์

ทุกวันนี้ชีวิตประจำวันทำอะไรบ้าง

ช่วงนี้ว่างงานก็มาช่วยงานวัด ช่วยพระยกศพ วัดอยู่ใกล้บ้าน ผมจะได้มีโอกาสดูแลแม่ผมด้วย ก็อาศัยข้าววัดกิน เขาให้เงินมาบ้าง วันไหนว่างก็นั่งรถตู้ไปหาลูกที่บางบัวทอง ผมถูกยึดใบขับขี่ รถก็โดนยึด คดีตอนนี้จบแล้ว เหลือแค่ไปรายงานตัวครับ

รายได้ก็มีขายเหรียญสะสมทางเน็ตบ้าง ตอนนี้มหาวิทยาลัยหลายแห่งติดต่อให้ไปเป็นวิทยากรพูดให้น้องปีหนึ่งฟังว่า เราผิดพลาดเพราะอะไร ผ่านมาได้ยังไง แล้วจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง ผมบอกเขาไปว่า เดี๋ยวขอผมชี้แจงกับสังคมก่อนว่า เรื่องราวมันเป็นยังไงให้สังคมได้รับรู้ อยากให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง

อยากให้ชีวิตเราเป็นอุทาหรณ์อะไรแก่คนอื่น

ผมอยากจะเตือนทุกคน มีคุณตำรวจคนหนึ่งเขาสอนผมว่า เดี๋ยวนี้คนเก่งๆ นักลงนักเลงเก๋าๆอยู่ในคุกหมดแล้ว ถ้าจะมีเรื่องอะไรที่ต้องกระทบกระทั่งกัน จำรายละเอียดทั้งหมดแล้วมาแจ้งตำรวจดีกว่า ต่อไปนี้ถ้าผมต้องไปกระทบกระทั่งกับใคร ผมจะยกมือไหว้เขาเลย ขอโทษ เรื่องมันก็จะไม่เกิด ทางที่ดีที่สุดคือตัดปัญหาไปตั้งแต่ทีแรกเลยดีกว่า ไม่มีเรื่องดีที่สุด

เมื่อก่อนผมเป็นคนใจร้อน ที่ออกมาให้สัมภาษณ์วันนี้ ผมอยากให้เรื่องของผมเป็นอุทาหรณ์แก่สังคม เรื่องของความใจร้อน เรื่องของกฎหมาย เรื่องของครอบครัวที่ต้องได้รับผลกระทบ จงดูผมเป็นตัวอย่าง ถ้าคุณทำพลาดไปแล้ว โอกาสที่จะแก้ไข บางทีมันแก้ไขไม่ได้ บางคนโชคร้ายเสียชีวิต พิการ ผมนี่ยังโชคดี เจอแค่นี้ ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีลมหายใจ ได้โอกาสได้กลับตัวใหม่ 

ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ อยากจะแก้ไขอะไร

ถ้าย้อนกลับไปได้ ผมจะไม่ทำ

ผมมีโอกาสคุยกับผู้พิพากษา ท่านเรียกไปหน้าบังลังค์แล้วก็สอนผมว่า ให้เราอยู่เพื่อคนอื่น อย่าอยู่เพื่อตัวเอง เพราะถ้าเราอยู่เพื่อตัวเองเราจะเห็นแก่ตัวมาก ทุกวันนี้ผมตัดได้หมดเลยนะ ผมได้เงินคนเขาช่วยเหลือมา ส่วนหนึ่งผมจะทำบุญ ส่วนหนึ่งผมเอาไว้รักษาลูก อีกส่วนหนึ่งเอาไว้รักษาแม่ ตัวผมเองกินข้าววัด ช่วยงานวัด มีความสุขดี ได้บุญด้วย

ทุกวันนี้เวลามีคนมาคุย ขอถ่ายรูป ผมพูดเลยว่า คุณไปบอกเพื่อนพี่น้องคุณเลยว่า อย่าใจร้อน ไม่งั้นเดี๋ยวเป็นเหมือนดีเจเก่ง ให้ชีวิตผมเป็นอุทาหรณ์ ผมกลับตัวแล้ว เป็นคนใหม่ ทำแต่สิ่งดีๆ ดูแลแม่ ดูแลลูก ช่วยงานวัด แล้วไม่ได้ทำเอาหน้าแค่อาทิตย์สองอาทิตย์ แต่ทำมา 7 เดือนแล้ว ซึ่งทุกอย่างกำลังดีขึ้นเรื่อยๆครับ