posttoday

"จำนำข้าว"ทุจริตระดับโลก

20 เมษายน 2557

คดีข้าวเป็นคดีหัวใจสำคัญ เป็นคดีที่ชี้ความคงอยู่ของการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าหากแก้ไขไม่ได้ประเทศไทยไม่เหลือแน่

โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย, ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

ไม่มีครั้งไหนที่การทำงานของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถูกกดดัน เนื่องจาก ป.ป.ช.มีงานใหญ่ที่อยู่ระหว่างการลงมือ คือ การไต่สวนคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นนโยบายประชานิยมสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยก้าวขึ้นเป็นรัฐบาลด้วยคะแนนเสียงล้นหลาม

ทันทีที่ ป.ป.ช.เริ่มเข้ามาตรวจสอบโครงการนี้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ก็ได้ทำให้สังคมเห็นอีกด้านหนึ่งของนโยบายรับจำนำข้าว ที่มีหลักฐานปรากฏชัดว่ามีการทุจริตอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการสร้างผลเสียหายต่อโครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งประเทศ ในต้นเดือน พ.ค.นี้ ป.ป.ช.จะชี้มูลคดีนี้ซึ่งเกี่ยวพันไปถึงอนาคตทางการเมืองของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถูกฟ้องข้อหาปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว

โพสต์ทูเดย์ สนทนากับ วิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. และหนึ่งในผู้ไต่สวนคดี ถึงปัญหาโครงการรับจำนำข้าวและบทสรุปที่กำลังจะตามมาอย่างน่าสนใจ

“ไม่ได้หนักใจอะไรเลย ผมพูดแบบตรงไปตรงมา ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก เพียงแต่ว่ามีคนมาสร้างความรำคาญให้แก่เราเท่านั้น แต่ทุกอย่างเป็นไปตามปกติ เราเองก็ไม่ได้ไปสู้รบปรบมือด้วย เราไม่ใช่คู่ปรปักษ์ ไม่ใช่เป็นคู่กรณี แต่เป็นผู้ไต่สวน ใครมาร้องเย้วๆ อย่างไรเราก็ต้องเฉย เหมือนกับท่านเปาบุ้นจิ้นที่ต้องนิ่ง” วิชา เปิดอกถึงคำถามเกี่ยวกับความหนักใจในการทำคดีนี้

วิชา ระบุว่า การทำคดีนี้ ป.ป.ช.เริ่มต้นจากการแสวงข้อเท็จจริงจากคดีที่มีการกล่าวหา บุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งเป็น รมว.พาณิชย์ จากนั้นเราก็ติดตามข้อมูลมาเรื่อยจนมาถึงการไต่สวนในปัจจุบัน ที่ผ่านมามีคนเอาข้อมูลมาให้ ป.ป.ช.ด้วยความเป็นห่วงประเทศ ประกอบกับกฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับใหม่ได้เอื้อให้เข้าถึงข้อมูลมากขึ้น ทำให้การทำงานง่าย โดยเฉพาะการวางระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การจับสัญญาณต่างๆ กฎหมายบอกว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในฐานะผู้ไต่สวนสามารถที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ทั้งหมด เหมือนกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) และคณะกรรมการธุรกรรมทางด้านการเงินของ ป.ป.ง.

จากการตรวจสอบของ ป.ป.ช. พบว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์มีการทุจริตหนัก วิชาบอกว่า เป็นการคอร์รัปชั่นในระดับโลกเลยทีเดียว

“มันไม่ใช่คอร์รัปชั่นแบบไทยๆ แต่เป็นคอร์รัปชั่นระดับโลก คุณสามารถเจรจาขายข้าวกับต่างชาติได้ แต่ถามว่าคุณได้ขายข้าวจริงหรือเปล่า ขายเมื่อไร ขายอย่างไร เพราะข้าวที่อยู่ในมือคุณมันต้องส่งออก จะขายเฉพาะในประเทศไม่ได้ เพราะข้าวมันอยู่ในมือคุณทั้งหมด คุณเข้าใจมั้ย แล้วบริษัทที่ส่งออกข้าวได้เอาข้าวล็อตไหนไปขาย ข้าวล่องหนอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ ที่เขาบอกว่าขายข้าวให้ประเทศโน้นประเทศนี้ได้แล้ว ถามว่าคุณได้ขายจริงหรือเปล่า”

“คุณดูข้าวทุกวันนี้ รู้หรือไม่ว่าคุณกินข้าวเม็ดนี้เป็นข้าวไทย ข้าวกัมพูชา หรือข้าวพม่า คุณรู้หรือไม่ เมื่อก่อนเรารู้เลยนะ เพราะข้าวของไทยเราเป็นข้าวที่วิเศษที่สุดในโลก ใครจะมาทำปู้ยี่ปู้ยำไม่ได้เด็ดขาด คุณเชื่อมั่นได้เลยว่าคุณกินข้าวเนี่ย ไม่ใช่กินข้าวพม่า กัมพูชา หรือลาว แต่เดี๋ยวนี้คุณไม่มีทางรู้”

“เมื่อก่อนนี้ คุณปลูกข้าวเพื่อผลิตเอาของดีที่สุด มันถึงเกิดข้าวหอมมะลิพันธุ์ต่างๆ และปลูกข้าวเพื่อหาพันธุ์ที่ดีที่สุด ให้คนที่มีเงินชั้นยอดที่เป็นเศรษฐีต้องมาซื้อข้าวเรา |สิงคโปร์ ฮ่องกง พูดเลยว่าข้าวหอมมะลิของไทยเป็นข้าวที่สุดยอด และวันนี้เขาปลูกข้าวเพื่อการขายข้าวให้ได้ราคา 1.5 หมื่นบาท เพียงอย่างเดียว ชาวนาเองก็ไม่ได้ให้ความร่วมมือในการผลิตข้าวเหล่านี้ต่อไปอีกแล้ว”

แสดงว่าปัญหาโครงการรับจำนำข้าวไปเกินกว่าเรื่องของการทุจริตแล้ว? กรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้ ย้ำว่า มันไปไกลกว่าเรื่องทุจริตจริงๆ เพราะกระทบหนักถึงการส่งออก

“การส่งออกข้าวเราต้องส่งออกข้าวที่ดีที่สุด ถ้าคุณส่งออกแบบ Mass (เชิงปริมาณ) เป็นข้าวชนิดไหนก็ได้ คุณจะได้เงินที่ไม่คุ้มกับการลงทุนเลย เพราะคุณต้องขายในราคาต่ำ ไม่มีประเทศไหนหรอกที่เศรษฐกิจดีเลิศในทางด้านเกษตรกรรมแล้วจะไปผลิตสิ่งที่เลว คุณต้องผลิตสิ่งที่ดี โดยเฉพาะสินค้าการเกษตร เพราะกว่าจะได้ผลผลิตมาคุณต้องคัดแล้วคัดอีก”

“ผมพูดมาเสมอว่าคดีข้าวเป็นคดีหัวใจสำคัญ เป็นคดีที่ชี้ความคงอยู่ของการบริหารราชการแผ่นดิน ถ้าหากแก้ไขไม่ได้ประเทศไทยไม่เหลือแน่ พูดกันตรงๆ ตั้งแต่อดีตข้าวเป็นสิ่งหล่อเลี้ยงคนไทยมาตลอด การทุจริตข้าว ซึ่งผมไม่ได้พูดถึงว่าใครทุจริตนะ แต่การทุจริตเรื่องข้าวเป็นเรื่องใหญ่หลวงมาก คนที่รู้ว่าเราสอบและกำลังจะถึงตัวเขากำลังเดือดร้อนมาก ตั้งแต่ต้นเรารู้ว่าเมื่อเราจับเรื่องข้าวรับรองว่าจะเหมือนผึ้งแตกรัง”วิชา กล่าว

ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรจะเลิกนโยบายนี้ได้แล้วหรือไม่?

“มันเป็นเรื่องที่ห้ามกันอยู่แล้วว่าไม่ให้รัฐเป็นผู้ค้า รัฐจะต้องไม่เป็นผู้ค้าเสียเอง ระบบการปกครองแบบประชาธิปไตย รัฐเป็นผู้ที่ยึดกระบวนการในการค้าและการผลิตไม่ได้ มันจะทำลายหมด”

แต่ถ้าพรรคเพื่อไทยยังกลับมาและยืนยันว่าต้องเป็นประชานิยม เพราะคนเสพติดเรียบร้อยแล้ว? วิชา ตอบทันทีว่า “อ้าว...(เสียงสูง) สื่อมวลชนนี่แหละ ที่ต้องให้ข้อมูลและแนวทางที่ถูกต้อง ถ้าพวกคุณยังนิ่งเฉยอยู่ อะไรก็ได้ ต่อไปนี้คุณไม่ต้องมีข้าวกินกันแล้ว”

“สื่อมวลชนเป็นห่วงหรือเปล่า ที่ระบบข้าวของเราต้องพินาศขนาดนี้ แต่ผมเป็นห่วง อย่างคุณแม่ผมสอนมาให้กราบเคารพแม่โพสพ ทุกวันนี้ ก่อนกินข้าว ผมต้องกราบข้าว หลังทานข้าวเสร็จก็ต้องกราบ คุณแม่ผมสอนและบอกว่าข้าว คือ จิตวิญญาณของชาติของแผ่นดินนี้ กราบข้าวนอกจากรำลึกถึงแม่โพสพแล้วยังรำลึกถึงชาวนาที่ต้องเหนื่อยยากในการปลูกข้าวด้วย แม่ผมบอกว่าแม่โพสพ คือ เทพีผู้พิทักษ์ข้าว แต่ระบบมันเสียหายหมดแล้วตอนนี้”กรรมการ ป.ป.ช. เล่าความในใจให้ฟัง

วิชายังเล่าถึงหลักการการตรวจสอบถ่วงดุลภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย หลังจาก ป.ป.ช.ถูกตั้งคำถามหนัก ถึงการทำหน้าที่และความไม่เป็นกลางจากฝ่ายรัฐบาล และคนเสื้อแดง

“เรื่องการเมืองไม่เกี่ยวกับ ป.ป.ช. เพราะ ป.ป.ช.มีหน้าที่ตรวจสอบการทุจริต แต่หลักการสมัยใหม่ขณะนี้และจะเป็นหลักการตลอดไป คือ เมื่อคุณเข้ามาในระบบการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้ว คุณก็ต้องถูกตรวจสอบ คุณจะบอกว่าคุณจะไม่ถูกตรวจสอบ โดยอ้างว่าฉันมาจากการเลือกตั้งไม่ได้ ไม่มีประเทศไหนในโลกแม้แต่ประเทศคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมที่คุณจะไม่ถูกตรวจสอบ”

ถามย้ำ จะชี้แจงอย่างไรเพราะรัฐบาลอ้าง 10 ล้านเสียง ที่เลือกรัฐบาลมา? วิชา ตอบเสียงสูงกลับมา

“โอ้ย คุณพูดอย่างนั้นได้ไง คุณไปดูประเทศที่ปกครองในระบอบประชาธิปไตยสิว่า มีประเทศไหนที่รอดพ้นน้ำมือในการตรวจสอบบ้าง อย่างญี่ปุ่น รัฐมนตรีต้องโค้งคำนับโค้งแล้วโค้งอีกเพื่อขอลาออก หรือเกาหลีใต้เคยมีประธานาธิบดีกระโดดเขาฆ่าตัวตาย แล้วเราจะไปบอกว่าฉันไม่ถูกตรวจสอบเป็นไปได้อย่างไร ดูเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง”

สุดท้าย กรรมการ ป.ป.ช.ผู้นี้ ยืนยันถึงความเป็นกลางในการทำงาน หลังจากถูกครหาในการดำเนินคดีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวดเร็วกว่ารัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ว่า จนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ของรัฐยังกั๊กข้อมูลเอาไว้ว่ายังให้ไม่ได้ซึ่ง ป.ป.ช.พยายามบีบให้ข้อมูลดังกล่าวไหลออกมาให้ได้

“ครั้งแรกที่มีการยื่นให้ตรวจสอบเรื่องการประกันราคาข้าว ปรากฏว่ามีแต่การยื่นให้ถอดถอนคุณพรทิวา นาคาศัย (อดีต รมว.พาณิชย์) ส่วนคุณอภิสิทธิ์ ถูกยื่นให้ดำเนินคดีทางอาญาเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันพรรคเพื่อไทยได้ยื่นเรื่องถอดถอนคุณอภิสิทธิ์มาแล้ว ดังนั้น ป.ป.ช.จะทำคดีให้รวดเร็วเสมอหน้ากัน เราทำคู่ขนานกันไป เราไม่ได้ทอดทิ้ง”อาจารย์วิชา ให้คำมั่น

"จำนำข้าว"ทุจริตระดับโลก

คุกคามไม่ได้ผล ขอทำคดีเพื่อชาติ

สถานการณ์การเมืองที่ขัดแย้งรุนแรง ส่งผลให้ป.ป.ช.กลายเป็นหนึ่งในองค์กรที่ถูกคุกคามด้วยการใช้ความรุนแรง ดังจะเห็นได้จากการถูกปิดล้อมสำนักงาน ไปจนถึงการใช้เอ็ม 79 ยิงถล่มหลายวันติด

วิชา  มองว่า  ในช่วงสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ตอนนั้นป.ป.ช.โดนถล่มชนิดที่เรียกว่าไม่ได้ตั้งตัวเลย แต่ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์มาได้ ตอนนั้นมีการอ้างว่าป.ป.ช.ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แถมยังมีการปล่อยตัวเงินตัวทองอีก ส่วนระเบิดเราเคยโดนมาแล้วเมื่อครั้งทำคดีสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  เวลานั้นเสธ.แดงยังประกาศเลยว่าวันไหนจะมีระเบิดมาลง ปรากฏว่ามาตรงเป๊ะ (หัวเราะ) ยังให้สัมภาษณ์ขอบคุณเสธ.แดงที่บอกล่วงหน้าเลย

“เขามีกองกำลังที่จัดตั้งเพื่อข่มขู่องค์กรอิสระเป็นพิเศษ จะเห็นได้ว่าตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญเรื่อยมาจนถึงป.ป.ช. มีการสั่งสมกองกำลังและมีกิจกรรมเป็นประจำ และมีท่อน้ำเลี้ยง ซึ่งเรารู้ว่ามีคนสนับสนุนอยู่ ซึ่งเรากำลังตรวจสอบโดยเชื่อมโยงจากการประกาศที่จังหวัดนครราชสีมา ที่ว่ามีกระสุน10ล้านนัด  ก็ต้องดูว่า เรื่องนี้ มีความเชื่อมโยงกันอย่างไร”วิชา กล่าว

ถามตรงๆตั้งแต่เป็นกรรมการป.ป.ช.มาเกือบ 9 ปีคิดเอาไว้ก่อนหรือไม่ว่าจะมาเจอกับสถานการณ์การถูกคุกคามแบบนี้? วิชา ครุ่นคิดก่อนตอบ

“เออ..ถ้าคิดแต่ในแง่ลบ เราก็มองว่าโอ้วชีวิตมันช่างย่ำแย่เลยนะ ไม่โสภาสถาพร รู้สึกว่าทำไมต้องมาวุ่นวายกับเรื่องอะไรที่ไม่ใช่เรื่องของเรา แต่ถ้าเรากลับมาคิดในเชิงบวก ชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่จะมีโอกาสทำอะไรเพื่อแผ่นดินได้ขนาดนี้อีกแล้ว เป็นช่วงชีวิตที่คาดไม่ถึง สมัยอยู่ในศาลยังทำอะไรไม่ได้ขนาดนี้ มันไม่มีทางทำได้ เราอยู่บนบัลลังก์ต้องรอให้เขาป้อนคดีเข้ามา แต่มาตอนนี้เราต้องลงมาค้นหาความจริงเองเพราะเราเริ่มใช้ระบบไต่สวน”

“เราดูหนังและอ่านหนังสือเปาบุ้นจิ้นก็มาคิดว่าท่านทำได้เหรออย่างนั้นอย่างนี้ แต่พอเราประสบเข้ากับตัวเองก็เลยคิดว่าต้องทำแบบท่าน คือ ต้องส่งคนเข้าไปค้นหาความจริง ไม่ใช่นั่งนิ่งๆอยู่บนบัลลังก์โดยไม่ทำอะไรเลย ระบบไต่สวนทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะจะต้องลงไปหาความจริง ในยุโรปใช้ระบบไต่สวนมาเป็นหลายร้อยปีมาแล้ว คือ ผู้ที่เป็นผู้พิพากษาหรือตุลาการจะต้องทำหน้าที่ไต่สวนด้วย ลงไปหาความจริงด้วยตัวเอง”

วิชา เล่าว่า ช่วงที่เป็นผู้พิพากษาก่อนมาเป็นกรรมการ ป.ป.ช. ขณะนั้นมีการตั้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใหม่ๆก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้พิพากษาในองค์คณะด้วย เวลานั้นยังไม่เห็นภาพว่าระบบการไต่สวน  การแสวงหาข้อเท็จจริงและการรวบรวมพยานหลักฐานทำอย่างไร มีความแตกต่างหรือดีกว่า ระบบกล่าวหาอย่างไร ไร แต่มาในเวลานี้ถือว่ามีความพัฒนาไปมาก

สำหรับวิชา มีบทบาทในการก่อตั้งสถาบันการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติสัญญา ธรรมศักดิ์ และวิทยาลัยพัฒนาพนักงานไต่สวนขึ้นมาเป็นครั้งแรกของประเทศไทยโดยสามารถอบรมเจ้าหน้าที่ให้เรียนรู้ ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า  ทำเหมือนระบบไต่สวนแบบเปาบุ้นจิ้น ที่ให้ มี จั่นเจา และ หม่าหั้น ลงพื้นที่หาข้อมูลและพยานหลักฐานเพื่อให้กรรมการ ป.ป.ช.ได้มองเห็นของจริงสำหรับการวินิจฉัยคดี โดยจะทำให้สามารถเชื่อมโยงได้หมดว่าใครเป็นคนสั่งการ   นี่ทำให้หลายคดีที่ป.ป.ช.ประสบความสำเร็จในการหาตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษจากระบบไต่สวน ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่ใช้ระบบกล่าวหา ที่ว่าใครถูกกล่าวหาก็จะจบแค่นั้น....

“ระบบไต่สวน มีปรัชญาว่าใครที่ถูกกล่าวหายังไม่ใช่เป็นคนผิด เช่น นายกฯถูกร้องเรียน ไม่ได้หมายความว่านายกฯเป็นผู้ต้องหาและคุณจะต้องจบตรงนี้ แต่ระบบไต่สวนจะต้องไปดูและตรวจสอบเพราะนายกฯอาจจะไม่รู้จริงๆก็ได้ และจะต้องไปดูด้วยว่าคนที่อยู่เบื้องหลังนายกฯนั้นเป็นใคร”วิชา ระบุ

"ไม่เกรงกลัวบาป"วิถีโกงแนวใหม่

วิชา มหาคุณ เป็นหนึ่งในกรรมการ ป.ป.ช.ที่ได้รับการแต่งตั้งเมื่อปี 2549 ผ่านมาจนถึงปีนี้ถือว่าอยู่ในตำแหน่งมายาวนานถึง 8 ปี เหลือเวลาอีกหนึ่งปีก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งตามกฎหมาย โดยการทำงานตลอด 8 ปีมานี้ได้มองเห็นถึงพัฒนาการของกระบวนการทุจริตที่นับว่ามีความรุนแรงมากขึ้น ที่เห็นได้ชัดคือ การไม่ละอายต่อการทำทุจริต

วิชา อธิบายว่า หากจะบอกว่าคดีไหนที่ทำแล้วประหนึ่งได้พลิกแผ่นดินคงจะเป็นคดีทุจริตโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน คดีจัดซื้อเรือและรถดับเพลิง และคดีการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เพราะเป็นคดีที่เกี่ยวกับผู้ใช้อำนาจรัฐอย่างแท้จริง โดยในอดีตการที่เราจะไปเอาผิดถึงตัวคนที่บริหารราชการแผ่นดินจริงๆ ทำได้ยากมาก แต่วันนี้สามารถทำได้

นอกจากนี้ ป.ป.ช.ยังทำให้ประชาชนมองเห็นภาพของนักการเมืองและผู้ที่เกี่ยวข้อง จนเกิดคำที่เรียกติดปากว่า “ทุจริตเชิงนโยบาย” เมื่อก่อนไม่เคยพูดเรื่องนี้กัน และก็จับไม่ได้ ไล่ไม่ทัน การทุจริตเชิงนโยบาย คือ การวางนโยบายเพื่อการทุจริต ซึ่งคดีคลองด่านถือเป็นคดีแรกของการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะมีการนำเงินจากธนาคารแห่งเอเชียเพื่อมาโกงและทุจริตกันอย่างมโหฬาร เช่นเดียวกับคดีรถและเรือดับเพลิงที่มีการวางนโยบายว่าจะซื้อมาจากออสเตรีย แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่เพราะเป็นการผลิตในประเทศไทยและส่งไปปั๊มตราที่ต่างประเทศ

ตั้งแต่ทำหน้าที่กรรมการ ป.ป.ช. มองว่ากระบวนการทุจริตหนักขึ้นหรือไม่? วิชา ตอบว่า “กระบวนการทุจริตมันไม่ธรรมดา แต่ในอดีตคนที่ถูกจับได้ก็ยังมีความเกรงกลัวและระงับยับยั้งและไม่คิดที่จะทำอีกแล้ว เพราะมีหิริโอตตัปปะ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่แล้ว มันพร้อมที่จะทุจริต เมื่อพร้อมที่จะทุจริตก็มีการวางกลไกทุจริตตั้งแต่แรก เอาง่ายๆ โครงการยังไม่ทันตั้งไข่เลย ดังนั้น ไม่ต้องมานั่งถามกันอีกแล้วว่า การทุจริตทุกวันนี้ความซับซ้อนอะไรหรือไม่”

“ปัจจุบันคนส่วนใหญ่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าส่วนรวมและไม่สามารถแยกแยะออกได้ ฉะนั้น เวลาที่คุณได้งานมา คุณก็ถามหาเพื่อน คุณเอางานนี้ไปนะ|คุณคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดาเหรอ ลูกหลานเราอบรมมาให้ไปเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ บัญชี และมาก่อตั้งบริษัทแล้วไม่ได้งานเลย เพราะเขาไม่แบ่งเค้กให้คุณ แล้วอย่างนี้บ้านเมืองนี้จะไปรอดเหรอ แล้วลูกหลานเราจะไปทำงานที่ไหน เพราะเขาไม่ใช้วิธีการแข่งขันอย่างเท่าเทียมกัน ไม่มีความยุติธรรมในระบบของการประมูลจัดซื้อจัดจ้าง”วิชา อธิบาย

กรรมการ ป.ป.ช. บอกว่า สื่อมวลชนไม่เคยตีแผ่เรื่องทุจริตขององค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ทั้งที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดและเผยแพร่ข่าวลงเว็บไซต์ ป.ป.ช.แทบทุกวัน แต่สื่อมวลชนไม่ให้ความสนใจ เพราะเห็นว่าเป็นคดีไส้เดือน ไม่ใช่คดีมังกร

“คุณรู้ไหมว่ามันเจ็บปวดมากนะ คนที่เขาไปยื่นให้ตรวจสอบ แต่ละ อบต.และ อบจ.ทั่วแผ่นดินนี้มีแต่การฮั้ว ผมพูดให้คุณหดหู่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ในประเทศนี้ ไม่งั้นมันไม่มีการปฏิรูปคุณเข้าใจมั้ย คุณมองเห็นไหมละว่า ถ้าคุณจะไปประมูลงาน คุณจะต้องมีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง แบบนี้มันจะไหวเหรอ จมปลักอยู่อย่างนี้”

ถ้าจะปฏิรูปการแก้ไขปัญหาการทุจริตควรจะดำเนินการในรูปแบบใด? วิชา แจกแจงว่า ต้องร่วมมือกันทั้งหมดทุกฝ่ายและต้องไม่แยกว่าใครสีไหน จะให้ ป.ป.ช.เน้นการปราบเพียงอย่างเดียว ก็คงแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ได้ แต่จะต้องปลูกฝังจริยธรรมและศีลธรรมด้วย ดังนั้น ป.ป.ช.ถึงลงไปทำข้อตกลงกับพระอย่างมหาจุฬาลงกรณ์ที่มีพระธรรมทูตเป็นหมื่นรูป จุฬาราชมนตรี และผู้นำศาสนาคริสต์ เพื่อขอให้ลงไปสอนประชาชนเป็นภาษาเดียวกันว่า การทุจริตเป็นปัญหาใหญ่โดยเฉพาะการขัดกันแห่งผลประโยชน์ส่วนตนและส่วนรวม

“เวลานี้ลูกหลานเราเดือดร้อน เขาซื้อได้ตั้งแต่เข้ามาทำหน้าที่ อบต. อบจ. มีการวางกันแล้วว่าคนคนนี้เข้ามาต้องทำอะไรบ้าง ต้องหางานให้ หาเงินให้ ดังนั้น การตรวจสอบต้องเข้มข้นกว่าเดิม ป.ป.ช.จะไปทำคนเดียวไม่ได้”วิชา กล่าวแบบหดหู่

อย่างไรก็ตาม แม้วิชาจะยอมรับว่าปัญหาการทุจริตเป็นปัญหาใหญ่ แต่ยืนยันว่ายังมีความหวังที่จะเห็นการแก้ไขปัญหาทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ เพราะหากเริ่มต้นด้วยการไม่ตั้งความหวังแล้วก็คงทำให้การแก้ไขไม่มีทางประสบความสำเร็จได้

“ถ้าเราไม่เห็นความหวังเราจะมานั่งทำกันไปทำไม แต่สำหรับผมถือว่านับถอยหลังแล้ว เพราะในวันที่ 6 ต.ค. 2558 ผมต้องลุกจากตำแหน่งนี้ไปแล้ว และจะมีคนที่มารับผิดชอบต่อไป ถ้าท่านประชาชนและองค์กรทุกองค์กรไม่เข้ามาร่วมมือกับเรา เพื่อแก้ไขปัญหาก็ถือว่าช่วยไม่ได้แล้ว เราก็ลุกไปพร้อมกับผลงานที่มีและแนวทางที่มอบไว้ให้ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่นโลกบอกไว้เลยว่า สื่อมวลชนถือเป็นส่วนสำคัญถึง 50% ของการปราบปรามการทุจริตที่ประสบความสำเร็จ ถ้าสื่อมวลชนไม่ร่วมมือในการหาข้อเท็จจริงหรือออกข่าวก็ไม่มีทางจะปราบปรามการทุจริตได้”

วิชา ทิ้งท้ายถึงการทำงาน ป.ป.ช.ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนอำลาตำแหน่งว่า ระยะเวลาที่เหลืออยู่จะทำงานให้ดีที่สุดและจะไม่ถอดใจ ไม่มีกรรมการ ป.ป.ช.คนไหนทำเพื่อตัวเอง ทุกคนทำเพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น แม้ว่าจะกระทบถึงครอบครัวก็ตาม ทุกคนเห็นตรงกันว่าเมื่อเราลงเรือลำเดียวก็ต้องไปให้รอด และต้องส่งไม้ต่อกับคนที่จะมาทำงานต่อไป เพื่อให้เป็นรูปแบบที่จะนำไปสู่ความสำเร็จ ถึงไม่สำเร็จในรุ่นนี้ก็ต้องสำเร็จในรุ่นหน้า