posttoday

"วิษณุ" งัดมาตรา 143 เซฟ พ.ร.บ.งบฯ 63 ย้ำไม่มีวิบัติแน่

24 มกราคม 2563

รองนายกฯวิษณุ งัด ม.143 เซฟ พรบ.งบประมาณฯ อ้างถ้าโมฆะจะกลับไปร่างเดิมที่รัฐบาลเสนอ ย้ำไม่มีวิบัติแน่ แย้มทางสำรองเพียบ

รองนายกฯวิษณุ งัด ม.143 เซฟ พรบ.งบประมาณฯ อ้างถ้าโมฆะจะกลับไปร่างเดิมที่รัฐบาลเสนอ ย้ำไม่มีวิบัติแน่ แย้มทางสำรองเพียบ

เมื่อวันที่ 24 ม.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันระหว่างลงมติร่าง พรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2563 ว่า ต้องรอ 2 อย่างคือ ผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของสภาผู้แทนราษฎร และรอศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยต้องรอผลตรวจสอบของสภาฯ ก่อน อย่างไรก็ตามบัตรประจำตัว ส.ส.จะใช้ 2 กรณี ได้แก่ แสดงตนและลงมติ ปัญหาคือมีการแสดงตนและกดลงมติหรือไม่

นายวิษณุ แจกแจงว่า อย่างการลงมติในวาระ 2 ร่าง พรบ.งบประมาณฯ มีการทำผิดๆ ถูกๆ ตั้งแต่มาตรา 31 ขึ้นไปนั้น ตรงนั้นไม่ต้องแสดงตน เพราะแสดงไปแล้วในตอนต้น แต่พอจบวาระ 2 จะขึ้นวาระ 3 ต้องแสดงตนใหม่ จึงต้องดูว่าเป็นไปได้อย่างไรว่ามีการเสียบบัตรคาไว้ แล้วเด้งออกมาเป็นการแสดงตน จากนั้นเด้งออกมาเป็นการลงมติ ต้องตรวจสอบตรงนี้ ถ้าตอนแสดงตนไม่มีการแสดงตนตอนลงมติก็จะไม่เกิด หากเจ้าตัวไม่อยู่แล้วบัตรเสียบคาไว้จริงอย่างที่อ้าง การที่บัตรคาอยู่มันจะไม่เกิดผลอะไรทั้งนั้น ดังนั้น ต้องให้เขาตรวจสอบ

เมื่อถามว่าบางฝ่ายพยายามหยิบยกเจตนาว่า เจ้าตัวอยู่ในห้องประชุม แต่มีการฝากบัตรกับเพื่อน เนื่องจากช่องลงมติไม่พอนั้น  นายวิษณุกล่าวว่า เจตนาไม่ใช่เรื่องใหญ่ สุดท้ายให้ออกมาเป็นข้อเท็จจริงว่าเสียบบัตรคาไว้หรือไม่ หรือมอบหมายให้ใครกดหรือไม่ หรือได้มอบหมายคนอื่นแล้วรู้หรือไม่ว่าใครกด อาจจะได้คำตอบไม่ครบหมดก็ได้ ได้เท่าไรก็เท่านั้น

เมื่อถามถึงข้อเสนอให้มีการใช้วิธีสแกนนิ้วเพื่อแก้ปัญหาการเสียบบัตรแทนกันนั้น  นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ ไม่แน่ใจแม้จะได้ยินเรื่องนี้ แต่หากที่นั่ง ส.ส.กำหนดตัวบุคคลไว้แล้ว ใครไม่อยู่ที่ตรงนั้นก็ว่าง สามารถช่วยแก้ปัญหาได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าผลสอบของสภาฯ ออกมาอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังต่อไปในอนาคต เพราะกว่าห้องประชุมสุริยันจะเสร็จระหว่างนี้จะมีการลงมติอีกหลายครั้ง ต้องระมัดระวังไม่ให้ใครที่มีเจตนาร้าย หรือไม่ได้เจตนาร้ายแต่เลินเล่อ หรือกระทำโดยมิชอบประการใดจนทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบทั้งหมด ไม่ควรจะเกิดขึ้น ต้องป้องกัน

เมื่อถามว่ามีการหารือกับนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับทางออกของร่าง พรบ.งบประมาณฯ แล้วหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่าทางออกมันมีอยู่ แต่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเสียก่อน เราจะได้รู้ว่าถ้าศาลวินิจฉัยว่าผิดตรงไหนจะได้แก้ไขเสีย

นายวิษณุกล่าวว่าวันนี้ความกังวลคือการล่าช้า แต่ถ้ากังวลว่าจะเกิดความเสียหายร้ายแรงนั้นมันไม่เกิด อย่าไปพูดให้เกิดความกังวล มีคนออกมาพูดก่อนว่าจะวิบัติ ตนจึงย้ำว่าไม่วิบัติ อย่างไรก็ทำได้ ข้าราชการได้เงินเดือน เพราะสำนักงบประมาณได้เตรียมวิธีแก้ปัญหาไว้แล้ว พอดีพอร้ายเผลอๆ โครงการต่างๆ อาจมีช่องทางไปได้ แต่โครงการลงทุนใหม่อาจจะยาก ซึ่งขอให้รู้ก่อนว่าความผิด บกพร่อง เกิดขึ้นที่ตรงไหน จะแก้อย่างไร ส่วนการออก พรก.เงินกู้ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด นั่นเป็นทางสุดท้าย

เมื่อถามว่ารัฐบาลมีทางออกอยู่แล้วใช่หรือไม่ แต่ไม่มั่นใจจึงประสานวิปรัฐบาลให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น  ส่วนความจำเป็นเร่งด่วนนั้นศาลรัฐธรรมนูญรู้อยู่แล้ว เพราะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันเหมือนกับทุกคน ส่วนจะรวดเร็วแค่ไหนนั้น ก็ไม่ควรจะเร็วกว่ากำหนดเวลาที่ควรจะเป็น

รองนายกฯ กล่าวว่าอย่างไรก็ตาม กรณีนี้ต่างกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นเมื่อปี 56 และ 57 และความต่างยังมีอีกว่ากรณีปี 56 เป็นกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ ส่วนปี 57 เป็น ร่าง พรบ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งเสียไปเพราะกระบวนการไม่ถูกต้อง วันนี้สังเกตหรือไม่ว่าไม่มีใคร โดยเฉพาะฝ่ายค้านพูดถึงกระบวนการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 56 พูดแต่ พรบ.กู้เงิน ปี 57 โดยทั้ง 2 กรณีเป็นการเสียบบัตรแทนกันโดยคนๆ เดียวกัน และตอนนั้นการพิจารณากฎหมายทั้งสองฉบับ ไม่มีกำหนดเวลา เมื่อเสียคือเสียไป แต่บังเอิญร่าง พรบ.งบประมาณฯนั้น ในมาตรา 143 ของรัฐธรรมนูญ เขียนไว้ชัดว่าหากพิจารณาไม่แล้วเสร็จใน 105 วัน ให้ถือว่าสภาฯเห็นชอบ ที่เขียนไว้เช่นนั้นเพราะเขากลัวสภาฯ แช่ไว้ แปรญัตติกันไปกันมา จึงเขียนว่าถ้าไม่เสร็จให้ถือว่าเสร็จ ดังนั้น จึงเป็นความต่างอยู่ แต่หากศาลบอกว่าไม่ต่างก็แล้วแต่ศาล เพียงแต่ที่ยื่นเพื่อชี้ประเด็นให้เห็นว่าไม่เหมือนกัน

“พูดก็พูดนะ กฎหมายงบประมาณถ้าไม่ล็อกเรื่อง 105 วัน มันมีช่องทางคิดได้เหมือนกันว่าเอากลับไปโหวตใหม่ แต่เมื่อมีกำหนดเวลาเอาไว้ ก็เป็นช่องที่ขอให้ศาลวินิจฉัยหน่อยว่าจะเอามาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่ ลองคิดเอาง่ายๆ 105 วัน ครบเมื่อต้นเดือน ม.ค. ผมไม่ได้สรุป แต่ชี้ให้เห็นว่ามีนัยยะที่ต่างจากสองเรื่องที่เคยเกิดขึ้น”นายวิษณุ กล่าวและว่า หากมาตรา 143 สามารถใช้ได้กับเรื่องนี้ มันจะกลับไปสู่ร่าง พรบ.งบประมาณฯ ที่เสนอในวาระที่ 1 ทุกอย่างที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พรบ.งบประมาณฯ ตัดๆ ไปจะกลับไปสู่ร่างแรก เพราะเจตนาของมาตรานี้ต้องการให้เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่ไม่ได้คิดว่าจะเกิดกระบวนการทำผิด หรือคณะกรรมาธิการทำล่าช้า

นายวิษณุ กล่าวว่า มาตรา 143 ไม่ใช่ทางออกสุดท้าย แต่เป็นทางออกหนึ่ง ซึ่งมีถึง 6-7 ทางออก

เมื่อถามว่า หากศาลวินิจฉัยว่าร่าง พรบ.งบประมาณฯ เป็นโมฆะ รัฐบาลต้องรับผิดชอบหรือไม่นั้น  นายวิษณุ กล่าวว่า รับผิดชอบอย่างไร งบประมาณก็ได้ออก ไม่มีใครเดือดร้อน ไม่มีข้าราชการคนไหนไม่ได้เงินเดือน หรือโครงการไหนดำเนินการไม่ได้ เพียงแต่มันจะช้า ไม่มีปัญหา ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่คาดหมายว่าจะวิบัติ