posttoday

"พุทธะอิสระ"เผยกำหนดการกลับไปห่มจีวร5ธ.ค.นี้ ชวนผู้ศรัทธาร่วมบวช

16 ตุลาคม 2562

"พุทธะอิสระ" ยืนยันเตรียมกลับไปห่มผ้าจีวรในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ระบุยังไม่ได้กล่าวคำลาสิกขาก ไม่ขาดจากความเป็นพระ ชวนร่วมบวชถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่9

"พุทธะอิสระ" ยืนยันเตรียมกลับไปห่มผ้าจีวรในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ ระบุยังไม่ได้กล่าวคำลาสิกขาก ไม่ขาดจากความเป็นพระ ชวนร่วมบวชถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่9

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 62 อดีตพระพุทธะอิสระได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กชี้แจงกรณีที่มีข่าวว่า จะกลับมาห่มผ้าจีวรอีกครั้ง โดยยืนยันว่าจะกลับมาห่มผ้าจีวรอีกครั้งในวันที่ 5 ธ.ค.นี้ หลังจากสิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติ ในคำพิพากษาคดีทำร้าย ร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะชุมนุม พร้อมเชิญชวนผู้มีใจศรัทธา ร่วมอุปสมบทถวายเป็นพระราชกุศลแด่ในหลวงรัชกาลที่9

สำหรับข้อความที่ อดีตพระพุทธะอิสระโพสต์ไว้มีดังนี้

ขอบคุณที่ยังคิดถึงกันอยู่

๑๖ ตุลาคม ๒๕๖๒

พอออกพรรษาแล้ว อยากสัมผัสกับธรรมชาติป่า เขา สายน้ำ แสงแดด กลิ่นไออันบริสุทธิ์ สดชื้น เพื่อซึมซับพลังธรรมชาติ

อยู่ดีๆ คนติดตามก็นำโทรศัพท์มายื่นให้แล้วบอกว่า เจ้าตั้มโทรมาบอกว่านักข่าวหลายช่องจักขอสัมภาษณ์ กรณีมีข่าวว่า จักกลับไปนุ่งห่มผ้าไตรจีวรอีก

รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าใครไปให้ข่าว แก่พวกนักข่าวเพราะไม่เคยคิดจักโฆษณา ออกข่าวคราวกันขนาดนี้

เพียงแค่แจ้งข่าวแก่ บรรดาญาติโยม ที่มาทำบุญในวันออกพรรษาว่า สิ้นเดือนตุลาคมนี้ ก็สิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติ ในคำพิพากษาคดีทำร้าย ร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะชุมนุม

ด้วยเพราะเวลาเจ้าหน้าที่กองปราบมาจับ แล้วส่งฝากขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ เจ้าหน้าที่กองปราบได้นิมนต์หลวงพ่อ เจ้าคณะเขต เจ้าอาวาสวัดเสมียนนารี และเลขา มาทำหน้าที่สึก

พุทธะอิสระ ได้กราบเรียนหลวงพ่อผู้คุ้นเคยกันไปว่า กระผมมิได้ละเมิดต่ออาบัติร้ายแรงจนทำให้ขาดจากความเป็นพระ ผมจึงไม่ยินดีกล่าวคำลาสิกขา

ครั้นออกจากคุกมาแล้ว จึงตั้งใจว่า จักกลับมาห่มผ้าจีวรอีก พอดีมหาเถระสมาคม ออกกฎขึ้นมาใหม่ว่า ภิกษุผู้ต้องโทษอยู่ในขณะคุมความประพฤติ ของทางราชการ ห้ามกลับเข้ามาบวชอีก จนกว่าจักหมดเวลาคุมความประพฤติ (ตามหมวด ๓ ว่าด้วยหน้าที่พระอุปัชฌาย์ กฏ มส.๑๗)

ซึ่งกรณีของพุทธะอิสระ จักสิ้นสุดเวลาคุมความประพฤติลงในวันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๒

เหตุนี้จึงกำหนดเวลากลับไปห่มผ้าไตรจีวร ในวันที่ ๕ ธันวาคม เพื่อน้อมถวายเป็นพระราชกุศลแด่องค์พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง

ก็ไม่คิดว่าการกลับไปนุ่งห่มผ้าเหลืองครั้งนี้ จักเป็นจุดสนใจของใครๆ มากขนาดนี้

ขอถือโอกาสให้ความรู้ ตามหลักพระธรรมวินัยเสียเลยว่า การที่ภิกษุจักพ้นจากความเป็นภิกษุได้นั้น มีเหตุอยู่ ๓ ประการ คือ

๑. มรณภาพ (ตาย)

๒. ต้องอาบัติปาราชิก เรียกว่า อาบัติร้ายแรงชั่วหยาบ ไม่สามารถกลับเข้ามาเป็นพระได้อีกตลอดชีวิต เช่น ฆ่ามนุษย์ อวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีอยู่จริง และเสพเมถุน

๓. กล่าวคำลาสิกขา

หลักการดังกล่าวมานี้ซึ่งก็ตรงกับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ ๖๗๘๒/๒๕๔๓

ย่อความสั้นๆ ให้ท่านทั้งหลายได้เข้าใจง่ายว่า

ภิกษุรูปหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ ตำรวจจับข้อหาเสพสารเสพติด และถูกบังคับให้กล่าวคำลาสิกขา แต่ภิกษุนั้นมิได้ยินยอม

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงนำตัวไปโรงพัก และบังคับให้ถอดจีวรพร้อมนำตัวไปคุมขัง เพื่อส่งฟ้องต่อศาล

เวลาต่อมาภิกษุรูปนั้นได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว จึงกลับไปห่มผ้าเหลืองอีก

เจ้าหน้าที่และอัยการ จึงนำตัวภิกษุนั้น ไปฟ้องต่อศาลข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์

ภิกษุนั้นต่อสู้คดี จนถึงศาลฎีกา ศาลฎีกามีคำวินิจฉัย ออกมาโดยสรุปได้ว่า (จากพฤติการณ์ดังกล่าว จำเลยย่อมเข้าใจได้ว่า จำเลยยังไม่ขาดจากความเป็นพระภิกษุ เนื่องจากจำเลยไม่สมัครใจลาสิกขา และการดำเนินการให้จำเลยสละสมณเพศโดยพลการ ของเจ้าหน้าที่ พนักงานตำรวจ จำเลยจึงไม่เจตนากระทำความผิด ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทย์จึงฟังไม่ขึ้น)

อีกทั้งมีกรณี พระพิมลธรรมแห่งวัดมหาธาตุ ถูกจับคุมขัง ข้อหา “มีการกระทำเป็นคอมมิวนิสต์ และทำลายความมั่นคงของรัฐ เป็นเวลา ๔ ปี” ท่านก็มิได้กล่าวคำลาสิกขา

พอท่านพ้นโทษออกมา ท่านก็แสดงความปาริสุทธิในศีล ต่อหน้าคณะสงฆ์แล้วกลับเข้าไปห่มผ้าเหลือง จนกระทั่งได้ดำรงตำแหน่งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ก่อนที่สมเด็จญาณสังวร จักได้รับการสถาปนาให้ได้เป็นพระสังฆราชต่อมา

แล้วมีผู้สงสัยว่า เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถบังคับจับภิกษุผู้ต้องคดีสึกจากความเป็นภิกษุได้เช่นนี้

และเมื่อภิกษุบางรูป ต้องสงสัยว่า ทำผิดกฎหมาย จักให้ปฏิบัติเช่นไร

อธิบายว่า มีพระอรรถกถาจารย์ได้กำหนดหลักปฏิบัติเอาไว้ว่า ให้ใช้วิธี “กายประโยค” เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจับภิกษุผู้ถูกกล่าว จำคุกได้ขณะที่ห่มจีวร เพราะท่านไม่ปรารถนาจะสึก

ให้เจ้าหน้าที่ทำการเปลื้องจีวร ออกจากตัวของภิกษุผู้ถูกกล่าวหารูปนั้นเสีย แล้วให้นุ่งห่มผ้าขาว อย่างคฤหัสถ์ผู้รักษาศีล โดยมิต้องกล่าวคำลาสิกขา เช่นนี้เรียกว่า “กายประโยค”

เพื่อจักปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง

ด้วยหลักการและเหตุผล ดังกล่าวมานี้แหละ พุทธะอิสระจึงมีศักดิ์ และสิทธิ์อันชอบธรรมที่จักกลับมาห่มผ้าไตรจีวรได้อีกในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๖๒

อีกทั้งแม่ที่ป่วยติดเตียงก็อายุท่านก็มากแล้ว ท่านอยากเห็นพระลูกชาย กลับไปนุ่งห่มผ้าเหลือง ก่อนที่ท่านจักตาย

อีกทั้งญาติโยมผู้ศรัทธาทั้งหลาย ก็มีความหวัง ความปรารถนา อย่างแรงกล้าว่า เมื่อไหร่พุทธะอิสระ จักกลับไปห่มผ้าเหลืองเสียที่ เพื่อถนอม รักษาจิตวิญญาณของท่านผู้มีคุณทั้งหลายดังกล่าว

พุทธะอิสระจึงกำหนดวัน เวลา กลับไปนุ่งห่มผ้าไตรจีวร ดังต่อไปนี้ว่า

พุทธะอิสระ

--------------------------------

กำหนดการห่มผ้าเหลืองของท่านพุทธะอิสระ

- ประชุมคณะสงฆ์ นิมนต์พระผู้อยู่ด้วยในเวลาเปลื้องจีวรมาเป็นพยานยืนยันว่าพุทธะอิสระมิได้กล่าวคำลาสิกขาหรือไม่

ประชุมคณะกรรมการวัดพร้อมญาติโยม เพื่อขอฉันทานุมัติ ว่ามีข้อขัดข้องใดๆ หรือไม่ที่พุทธะอิสระจะห่มผ้าไตรจีวร

- กำหนดการห่มผ้าไตรจีวร

เวลา ๐๙.๐๐ น. รับผ้าไตร จากญาติโยมถวาย

เวลา ๐๙.๓๐ น. นำผ้าไตรเข้าพระอุโบสถ ในท่ามกลางองค์ประชุมคณะสงฆ์

- ขอโอกาสคณะสงฆ์ แสดงความปาริสุทธิในศีล เพื่อให้คณะสงฆ์ได้รับทราบ และยอมรับเข้าหมู่พร้อมเปล่งว่า สาธุ

- เมื่อคณะสงฆ์ยอมรับ จึงออกไปห่มผ้าไตร แล้วกลับเข้ามา กล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย

- แสดงอาบัติพร้อมขอปลงอาบัติ แก่คณะสงฆ์ พระสงฆ์

จบพิธี

- ท้ายนี้ถือโอกาส เชิญชวนชายไทย ผู้มีใจศรัทธา ปรารถนาจักบวชอุทิศถวายพระราชกุศล แด่องค์พ่อหลวง ร.๙ ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐยิ่ง ซัก ๑๕ วัน หรือ เดือนหนึ่ง เพื่อร่วมปฏิบัติธรรม วิถีจิต ด้วยกันก็เชิญได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ