posttoday

เปิดอนุสาวรีย์"บรรหาร" ลูกท็อป ชี้ ร่วมรัฐบาลดูเรื่องเสถียรภาพเป็นสำคัญ

23 เมษายน 2562

“หนูนา-ลูกท็อป” เปิดอนุสาวรีย์พ่อบรรหาร เชื่อ หากพ่อยังอยู่ต้องการปรองดองการเมือง “วราวุธ” ชี้ ร่วมรัฐบาลหรือไม่ต้องคิดเรื่องเสถียรภาพเป็นสำคัญ

“หนูนา-ลูกท็อป” เปิดอนุสาวรีย์พ่อบรรหาร เชื่อ หากพ่อยังอยู่ต้องการปรองดองการเมือง “วราวุธ” ชี้ ร่วมรัฐบาลหรือไม่ต้องคิดเรื่องเสถียรภาพเป็นสำคัญ

เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ที่อุทยานสัจจะ-กตัญญู ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี คุณหญิงแจ่มใส ศิลปอาชา พร้อมด้วยน.ส.กัญจนา ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายวราวุธ ศิลปอาชา ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบาย พรรคชาติไทยพัฒนา และตระกูลศิลปอาชา ร่วมกันเป็นในพิธีเปิดอนุสาวรีย์ พณฯ บรรหาร ศิลปอาชา นายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ที่บริเวณอุทยานสัจจะ-กตัญญู ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี โดยถือวันที่ 23 เม.ย.ซึ่งตรงกับวันครบรอบ 3 ปีของการถึงแก่อนิจกรรม พร้อมมีพิธีวางพวงมาลาและพานดอกไม้รำลึกเกียรติคุณ จากพรรคการเมือง และหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในจังหวัดสุพรรณบุรี

นายวราวุธ  กล่าวถึงพิธีเปิดอนุสาวรีย์ บรรหาร ศิลปอาชา ว่า เป็นความภาคภูมิใจของประชาชน จังหวัดสุพรรณบุรี เพราะตลอดที่นายบรรหารมีชีวิต และนำการพัฒนามาสู่พื้นที่ทำให้มีผู้ศรัทธาและเคารพเป็นจำนวนมาก ซึ่งตนมองว่านายบรรหารเป็นนักการเมืองเพียงไม่กี่คนที่ทำงานเพื่อประชาชน ดังนั้นจึงได้รับความยกย่องและศรัทธาแม้จะถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วครบ 3 ปี

"อนุสาวรีย์พ่อบรรหาร เป็นรูปหล่อทองสำริดเสมือนจริง สูง 2 เท่าของความสูงจริง ประมาณ 3 เมตร น้ำหนักประมาณ 930 กิโลกรัม สวมชุดซาฟารีกางเกงขาเต่อ ทั้งนี้บนกระเป๋าเสื้อหน้าอกด้านซ้ายบรรจุอัฐิของนายบรรหารไว้ด้วย โดยตั้งใจบรรจุไว้ที่ตำแหน่งของหัวใจ พร้อมกันนี้ ยังสอดแทรกความเป็นเอกลักษณ์ของนายบรรหารที่จะเหน็บปากกา 1 ด้าม ดินสอ 1 แท่ง กระดาษพับ 3 ครั้ง 1 แผ่นไว้ที่กระเป๋าเสื้อด้านซ้าย พร้อมข้อมือสวมนาฬิกายี่ห้อ Lazer ที่ใส่เป็นประจำราคาไม่กี่พันบาท สวมรองเท้าคู่ละ 400 บาท ส่วนงบประมาณก่อสร้างประมาณ 20 ล้านบาท โดย 10 ล้านบาทมาจากครอบครัวศิลปอาชา ส่วนอีก 10 ล้านบาทมาจากเงินบริจาคของประชาชน" นายวราวุธ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า การสร้างอนุสาวรีย์นายบรรหาร ต้องการสร้างเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจสำหรับทุกคนว่า ไม่ว่ายากดีมีจน ประสบความสำเร็จ หรือมีเงินจำนวนมากขนาดไหน เมื่อตายไปไม่สามารถนำทรัพย์สินดังกล่าวไปด้วยได้ แต่สิ่งที่ยังอยู่ในคนนึกถึง คือ ความดี ผลงานที่ฝากไว้บนแผ่นดินนี้ ซึ่งนายบรรหารได้ฝากผลงานไว้บนแผ่นดินไทย ไม่เฉพาะ จ.สุพรรณบุรี

"ตายไปแล้ว เอาอะไรไปไม่ได้  จะเหลือไว้แค่ความดีและตำนานไว้ให้คนระลึกถึง ผมเชื่อว่าประวัติของพ่อบรรหารจะเป็นตัวอย่างให้หลายคนได้เป็นอย่างดี" นายวราวุธ กล่าว

ขณะที่น.ส.กัญจนา กล่าวว่า อย่าโกรธอย่าเกลียดกันมาก ในที่สุด ก็ต้องตายเหมือนกัน ขอให้มาร่วมมือกัน ทำดี เพื่อให้ลูกหลานดีกว่า เพราะอีกไม่นานพวกเราก็ตายเหมือนกันหมด

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า น.ส.กัญจนา และ นายวราวุธ ร่วมเขียนบทความเปิดใจเนื่องในวันเปิดอนุสาวรีย์นายบรรหาร โดยมีสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า วันที่ 23 เมษายน 2562 ครบรอบ 3 ปีที่พ่อจากไป อนุสาวรีย์พ่อคนสุพรรณอยากทำให้พ่อเขาร่วมกันบริจาคเงิน โดยครอบครัวเราสมทบเติมในส่วนที่ขาด

"เรา 3 คนแม่ลูก ขอบคุณคนสุพรรณไม่ลืมพ่อ ไม่ลืมสิ่งที่พ่อทำให้จังหวัดสุพรรณบุรี  ครอบครัวเราหวังว่า เรื่องราวชีวิตของพ่อจะเป็นแบบอย่าง และกำลังใจให้อนุชนรุ่นหลัง เพราะพ่อคือสามัญชน เกิดเป็นลูกชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ร่ำรวย ทว่ามีศีลธรรม การศึกษาก็ไม่สูง อาศัยความขยัน อดทน หนักเอาเบาสู้  ไม่ท้อถอยต่อปัญหาอุปสรรคใดๆ ชีวิตของพ่อ คือตัวอย่างคนธรรมดาที่เริ่มจากศูนย์ แต่สามารถก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ที่สำคัญ เมื่อได้ดีแล้วพ่อไม่ลืมบ้านเกิดเมืองนอน กลับมาทำความเจริญให้ถิ่นกำเนิด พ่อยึดมั่นในสัจจะ กตัญญู และทุกอย่างที่พ่อทำพ่อพูดเสมอว่า ทำเพื่อลูกเพื่อหลาน รักพ่อมาก" ความในใจจากลูกนา และลูกท็อป

จากนั้นน.ส.กัญจนา ให้สัมภาษณ์ว่า หากนายบรรหารยังอยู่ เชื่อว่านายบรรหารต้องการให้การเมืองเกิดความปรองดอง ที่ผ่านมานายบรรหารไม่ถือว่า ใครเป็นศัตรู เนื่องจากต้องการสร้างความสามัคคีปรองดองเพื่อให้ประเทศไทยนำแนวทางและนโยบายไปแก้ไขปัญหาให้เกิดความสำเร็จ ดังนั้น ตนเชื่อว่า การเมืองที่ปรองดองจะเป็นสิ่งที่นายบรรหารต้องการเห็น ทั้งนี้ ตนเพียงแค่คาดเดา เพราะวันนี้นายบรรหารไม่อยู่ให้ถามแล้ว

เมื่อถามถึง ชทพ.มีแนวทางสนับสนุนการปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างไร น.ส.กัญจนา กล่าวว่า ชทพ.เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก ได้ส.ส.เพียง 10 คน ดังนั้น คงไม่มีบทบาทอะไรมาก ทั้งนี้ ระหว่างการหาเสียง ชทพ.ชูจุดยืนไม่เป็นคู่ขัดแย้ง ไม่สร้างความขัดแย้ง และไม่ทำสิ่งที่ให้เกิดปัญหา แม้แต่ที่ผ่านมาหลายฝ่ายมองว่า ชทพ.จ้องแต่เป็นรัฐบาลแต่ตนยืนยันว่า ไม่ว่า เป็นฝ่ายค้านหรืออะไรก็สามารถทำงานได้เพื่อความสงบสุข ดังนั้น การเมืองหลังจากนี้ พรรคขนาดเล็กจึงต้องนิ่งและฟังอยู่ อย่างไรก็ตาม กกต.ยังไม่ประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง จึงเชื่อว่า ทุกฝ่ายต้องรอฟังเช่นกัน ส่วนการพูดคุยกับพรรคการเมืองอื่นก็ฟอร์มรัฐบาลเป็นเรื่องธรรมดาและปกติที่ฝ่ายการเมืองจะพูดคุยกัน

เมื่อถามว่า ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งมองสถานการณ์ทางการเมืองอย่างไร น.ส. กล่าวว่า พรรคการเมืองที่ได้เสียงข้างมาก คือพรรคที่พยายามจะจัดตั้งรัฐบาลให้ได้ ทั้งนี้ ในช่วงของการเลือกตั้งทุกพรรคสู้กันเต็มที่ ดังนั้นภายหลังการเลือกตั้งเชื่อว่า จะไม่เสียเปล่า เพราะประชาชนรอให้รัฐบาลใหม่เพื่อเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ  และมีฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล เพื่อไม่ให้การเลือกตั้งวันที่ 24 มีนาคม เสียงของ ส่วนที่หลายฝ่ายประเมินว่าการเมืองอาจถึงเดทล็อคเพราะไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้นั้น ตนเชื่อว่าจะมีทางออกเมื่อสถานการณ์มาถึง

ขณะที่นายวราวุธ กล่าวต่อประเด็นการเมืองถึงการรวมขั้วจัดตั้งรัฐบาลว่า ต้องพิจารณาและคำนึงถึงเสถียรภาพของการเป็นรัฐบาล รวมถึงการนำนโยบายของพรรคที่หาเสียงไว้ไปปฏิบัติหรือไม่ อย่างไรก็ตามปัจจัยว่าด้วยเสถียรภาพของรัฐบาลเป็นประเด็นสำคัญ เนื่องจากหากรวมเป็นรัฐบาล 2-3 เดือน แต่เกิดอุบัติทางการเมือง เช่น ยุบสภา หรือ เลือกตั้งใหม่ คงไม่อยากให้เกิดขึ้น

"รัฐบาลที่จะจัดตั้งต้องคำนึงถึงเสถียรภาพเป็นสำคัญ นอกจากนั้นทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ต้องมีความสามารถสูง เพื่อแก้ปัญหาสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนในขณะนี้ อย่างไรก็ตามการพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองเพื่อร่วมมือตั้งรัฐบาล ยอมรับว่าได้คุยกันก่อนการเลือกตั้ง" นายวราวุธ กล่าว