posttoday

มติศาลรธน.ล้มแก้ที่มาสว.แต่ไม่ยุบพรรค

20 พฤศจิกายน 2556

ศาลรธน.มีมติ 6 ต่อ 3 ล้มการแก้ไขที่มาสว.แต่ไม่ยุบ 6 พรรคการเมือง ชี้มีการปลอมร่างแก้ไข-ลงคะแนนไม่ชอบ ระบุเป็นลักษณะใช้เสียงข้างมากละเมิดอำนาจปวงชน

ศาลรธน.มีมติ 6 ต่อ 3 ล้มการแก้ไขที่มาสว.แต่ไม่ยุบ 6 พรรคการเมือง ชี้มีการปลอมร่างแก้ไข-ลงคะแนนไม่ชอบ ระบุเป็นลักษณะใช้เสียงข้างมากละเมิดอำนาจปวงชน

เมื่อวันที่ 20 พ.ย.คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 ให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของสว.เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่าด้วยการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมกับมีมติ 5 ต่อ 4 เสียงเห็นว่าการแก้ไขดังกล่าวเป็นกระทำเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ยุบพรรคเพื่อไทยและพร้อมกับพรรคการเมืองอื่นๆรวม 6 พรรค

ทั้งนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ประชาชนมีสิทธิในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐโดยชอบธรรม รวมทั้งให้สถาบันศาลและองค์กรอิสระสามารถปฎิบัติได้ จากหลักการนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีความมุ่งหมายให้องค์ทางการเมืองปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริตโดยปราศจากการขัดกันแห่งประโยชน์ และไม่ประสงค์ให้สถาบันการเมืองหยิบกฎหมายมาเป็นข้ออ้างในการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตน

อย่างไรก็ตาม แม้จะให้ถือเสียงข้างมากแต่ข่มเหงเสียงข้างน้อยจะถือว่าเป็นการปกครองประชาธิปไตยได้หรือไม่แต่จะเป็นระบบเผด็จการ ทำให้ต้องมีมาตรการป้องกันการใช้อำนาจบิดเบือนของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่มาใช้อำนาจอธิปไตยของปวงชนไม่ใช่จะใช้อำนาจอย่างอำเภอใจได้ เพราะจะพาประเทศชาติเสื่อมโทรมลง คณะรัฐมนตรี รัฐสภา หรือ ศาลล้วนมาจากรัฐธรรมนูญ จึงควรถูกจำกัดการใช้เนื้อหาโดยจะขัดกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ ด้วยเหตุรัฐธรรมนูญ 2550 จึงกำกับการใช้อำนาจของทุกองค์กรภายใต้หลักการว่าจะต้องใช้อำนาจหน้าที่ตามหลักนิติธรรมด้วยไม่ใช่ทำตามหลักเสียงข้างมากเท่านั้น

การอ้างหลักเสียงข้างมากโดยไม่คำนึงเสียงข้างน้อยยเพื่อใช้อำนาจตามอำเภอใจท่ามกลางความซับซ้อนระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัว ดังนั้นจึงเป็นการกระทำขัดมาตรา 3 วรรค 2 ของรัฐธรรมนูญตามนัยมาตรา 68 นั่นเอง โดยจะต้องใช้อำนาจโดยสุจริตห้ามมีวาระซ่อนเร้น หลักนิติธรรมจึงเป็นหลักที่อยู่เหนือว่ากฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนหลักประชาธิปไตยจะต้องเป็นไปเพื่อประชาชนไม่ใช่อ้างอิงมาจากฐานอำนาจจากการเลือกตั้งเท่านั้น เพราะระบอบประชาธิปไตยยังมีองค์ประกอบอีกหลายประการ เสียงการเลือกตั้งเป็นการสะท้อนของประชาชนเท่านั้น ไม่ใช่เป็นการให้คนไปใช้อำนาจโดยปราศจากหลักคิดแต่อย่างใด

ที่สำคัญรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีศาลรัฐธรรมนูญเพื่อควบคุมการชอบด้วยรัฐธรรมนูญอันเป็นปรัชญาหลักควบคู่ไปกับการรักษาไว้ซึ่งการเป็นสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ดังเช่นมาตรา 216 ที่ให้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมีผลผูกพันทุกองค์กร รัฐสภา คณะรัฐมนตรี องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานรัฐ เมื่อพิจารณาโดยตลอดแล้วเห็นว่าผู้ร้องใช้สิทธิพิทักษ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68

ประเด็นที่ 1  กระบวนการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่

ในร่างแก้ที่มาของสว.มีผู้ร้องอ้างว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยื่นให้สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรไม่ตรงกับฉบับที่รัฐสภาพิจารณาในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการ เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีการใส่เลขหน้าเรียงลำดับด้วยลายมือในทุกหน้าจนถึงหน้าที่ 33 แต่ตัวบันทึกหลักการและเหตุผลในร่างแก้ไขปรากฎว่าไม่ได้ปรากฎเลขกำกับเอาไว้ และอักษรที่ใช้มีความแตกต่างกัน

จากหลักฐานดังกล่าวร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เสนอให้รัฐสภาในวาระที่ 1 มิใช่ร่างเดิมที่นายอุดมเดช รัตนเสถียร ได้ยื่น 20 มี.ค.2555 แต่เป็นร่างที่จัดพิมพ์โดยมีข้อความขึ้นมาใหม่หลายประการ โดยเป็นการเพิ่มเติมในสาระสำคัญ และจะมีผลให้บุคคลที่มีผลให้บุคคลที่ดำรงตำแหน่งสว.สิ้นสุดลงลงสมัครได้อีกทันที และมีเจตนาปกปิดไม่ให้สมาชิกรัฐสภาได้รับทราบถึงความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว จึงมีผลเท่ากับว่าการเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่รัฐสภารับหลักการเป็นไปโดยมิชอบตามมาตรา 219 (1)

นอกจากนี้ในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญสมาชิกรัฐสภาในฐานะผู้เสนอความเห็นมีสิทธิได้อภิปรายแต่ข้อเท็จจริงปรากฎในการไต่สวนพบว่ามีการตัดสิทธิ์ผู้อภิปรายและผู้เสนอคำแปรญัตติเป็นจำนวนถึง 57 คนอ้างว่าขัดหลักการทั้งที่ยังไม่ได้มีการฟังการอภิปราย แม้เสียงข้างมากจะมีอำนาจในการลงมติปิดอภิปรายแต่จะต้องไม่ตัดสิทธิ์ของสมาชิกรัฐสภา การรวบรัดจึงเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบอันเป็นการขัดต่อหลักนิติธรรม

ขณะเดียวกัน สมาชิกรัฐสภามีฐานะเป็นผู้แทนของปวงชนโดยไม่อยู่ใต้อาณัติใครและไม่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ดังนั้น การใช้อำนาจของสมาชิกรัฐสภา ลงคะแนนได้ครั้งละ 1 เสียงเท่านั้นการทำให้การลงคะแนนผิดไปจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีหลักฐานเป็นภาพวีดีทัศน์ถึง 3 ตอนที่แสดงให้เห็นว่าเป็นการลงคะแนนแทนผู้อื่น จึงเห็นได้ว่าเป็นการกระทำที่ผิดปกวิสัย และเป็นเรื่องที่แจ้งชัดว่ามีสมาชิกรัฐสภาหลายรายไม่ได้มาลงออกเสียงแต่ให้คนอื่นออกเสียงแทน การดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญที่ต้องปฎิบัติหน้าที่โดยสุจริต และขัดต่อหลักการซื่อสัตย์สุจริตตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา จึงเป็นการออกเสียงที่ทุจริตไม่เป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ไม่อาจถือเป็นมติที่ชอบโดยรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่ 2การแก้ไขเพิ่มเติมเนื้อหารัฐธรรมนูญมีลักษณะเป็นการล้มล้างการปกครองหรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ หรือไม่

ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างหรือไม่ ศาลเห็นว่ารัฐธรรมนูญ2550 ได้ใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นแม่แบบและแก้ไขคุณสมบัติของสว.ไว้หลายประการ เพื่อป้องกันปัญหา กล่าวคือ การให้มีสว.สรรหาในสัดส่วนเท่าเทียมกันเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้เข้ามามีส่วนร่วมและป้องกันไม่ให้คู่สมรสและบุพการีไม่ให้เข้ามาทำหน้าที่

วุฒิสภามีหน้าที่ถ่วงดุลการทำหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรดังจะเห็นได้จากการให้อำนาจถอดถอนสส.ออกจากตำแหน่งได้ตามมาตรา 270 จึงเห็นได้ว่ารัฐธรรมนูญต้องการให้สว.เป็นอิสระจากสส.ไม่งั้นจะขัดกับหลักการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งการแก้ไขดังกล่าวเป็นการทำให้วุฒิสภาเป็นสภาของญาติพี่น้องนำพาไปสู่การผูกขาดอำนาจจนกระทบต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย การให้มีสว.มาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวจึงทำให้เกิดความเกี่ยวข้องกับการเมืองจนสูญเสียต่อการตรวจสอบทำให้ฝ่ายการเมืองสามารถควบคุมอำนาจได้เด็ดขาด และกระทบต่อการปกครอง

ทั้งนี้ จึงมีมติเสียงข้างมาก 6ต่อ 3 ว่าการแก้ไขจึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญมาตรา 291 และมีมติ 5 ต่อ 4 ว่ามีลักษณะเป็นการได้มาซึ่งอำนาจการปกครองไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 แต่ยังไม่มีเหตุให้ยุบพรรคการเมืองทั้ง 6 พรรคตามคำร้อง

มติศาลรธน.ล้มแก้ที่มาสว.แต่ไม่ยุบพรรค

 

ข่าวล่าสุด

กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังและเตรียมเครื่องจักรรับมือฝนหนักภาคใต้ 11–15 ธ.ค. นี้