posttoday

ประเทศต้องมีรากแก้ว

08 เมษายน 2564

โดย...ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์

******************

เราไม่อยากเห็นวันที่ 6 เมษายน เป็นวันจักรี และเป็นวันหยุดราชการ ผ่านไปอีกปีหนึ่งโดยไม่มีความหมาย หรือคนรู้แต่เพียงว่าได้หยุดทำงานอีกวันหนึ่งเท่านั้น

ถ้าถามว่า วันจักรีมีความสำคัญอย่างไรถึงเป็นวันหยุดราชการ ส่วนใหญ่ตอบได้คือ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ได้สถาปนาราชวงศ์จักรี ซึ่งนับถึงปีนี้ก็ 239 ปีแล้ว ในช่วง 239 ปีที่ผ่านมาภายใต้ราชวงศ์จักรี เกิดเรื่องราวมากมายในราชอาณาจักรแห่งนี้ ประเทศไทยได้ผ่านร้อนผ่านหนาว เสี่ยงต่ออันตรายแทบจะเอาตัวไม่รอดไปหลายครั้ง แต่พระมหากษัตริย์ได้นำพาประเทศไทยรอดปลอดภัยปากเหยี่ยวปากกา ทำให้ประเทศชาติเป็นเอกราชจนมาถึงคนไทยรุ่นปัจจุบัน

ประวัติศาสตร์ของชาติเป็นเรื่องที่น่าศึกษา แต่ทำอย่างไรจะไม่ยัดเยียด ลูกหลานรู้สึกว่าถูกบังคับว่าต้องเรียน แต่เขาได้เรียนรู้อย่างเต็มใจ เข้าใจ สนุกสนาน ได้สาระ ไม่เบื่อ ไม่มากเกินไป และเหมาะสมกับวัย

ประวัติศาสตร์ของไทยเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์อย่างใกล้ชิด ดังนั้น การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ชาติไทยคือการเรียนการสอนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของไทยอย่างแยกไม่ออก

วันจักรีปีนี้ มีท่านผู้รู้ได้กรุณาสรุปความเป็นมาและผลงานของพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรีแต่ละพระองค์เผยแพร่ทางสื่อสังคมให้ทราบกันทั่วไป เป็นการสรุปสั้น ๆ ตรงประเด็น ง่ายต่อความเข้าใจ ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทย 239 ปีที่ผ่านมา เผชิญกับภัยคุกคามจากมหาอำนาจตะวันตกที่คิดจะฮุบเอาไทยเป็น “อาณานิคม” อย่างไร พระมหากษัตริย์ของไทยทรงดำเนินพระราโขบายทำให้ไทยอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่อยู่รอดปลอดภัยเท่านั้น ยังทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้าทัดเทียมกับประเทศพัฒนาตะวันตกได้อย่างไร

คนไทยในปัจจุบันมีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 9 ซึ่งครองราชย์ยาวนานถึง 70 ปี เราได้เห็นพระองค์ท่านได้ทุ่มเททุกอย่างในสถานะพระมหากษัตริย์ที่สนับสนุนรัฐบาลในการาลดความเหลื่อมล้ำและลดความยากจนของประชาชน และแสดงให้เห็นว่า “สถาบันกษัตริย์ยังมีประโยชน์” ซึ่งเป็นที่ยอมรับของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ผลงานของพระองค์ท่านเผยแพร่ไปทั่วโลกและได้รับการรับรองจากองค์การสหประชาชาติ

ไม่ได้เป็นการศึกษาจากบันทึกทางประวัติศาสตร์เช่นพระมหากษัตริย์ในรัชกาลก่อน ๆ ซึ่งคนไทยรุ่นนี้เกิดไม่ทัน คนไทยอายุ 80 ปีลงมาได้เห็นและตัดสินด้วยตนเอง

กลุ่มล้มเจ้ารุ่นใหม่ที่พาดพิงบ่อนเซาะสถาบันกษัตริย์โดยโดยงใยมาถึงช่วงรัชกาลที่ 9 ไม่ทราบคิดไม่ถึงหรือโง่ เพราะคนไทยได้รู้ได้เห็นพระราชกรณียกิจด้วยตนเอง สามารถตัดสินได้ว่า สิ่งที่กลุ่มล้มเจ้าพูดมานั้นเป็นการกล่าวหาโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง

ลูกไทยหลานไทยในยุคปัจจุบันมีความรู้ทางวิชาการก้าวหน้าทัดเทียมหรือไม่น้อยกว่าประเทศพัฒนาอื่น ๆ แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของประเทศกลับน้อยมาก ทั้งนี้ สะท้อนจากเสียงบ่นของพ่อแม่ พี่ป้าน้าอา ซึ่งถามลูกหลานเกี่ยวกับประวัติศาสตร์บางตอนสำคัญที่ง่าย ๆ ปรากฏว่า ลูกหลานไม่รู้เลย และไม่รู้จริง ๆ ไม่ใช่แกล้งไม่รู้ บางทีเขาบอกว่าไม่เคยได้ยิน ครูไม่เคยสอน

จะว่าสอนแล้วเด็กไม่จำ หรือจำไม่ได้ ก็ไม่ใช่ เพราะเด็กยืนยันว่าครูไม่ได้สอนจริงๆ จึงตกเป็นเหยื่อด้วยความหลงผิดของกลุ่มคนที่คิดร้ายต่อบ้านเมือง ที่วางแผนมานานหลายทศวรรษมาแล้ว

จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำไม “กลุ่มล้มเจ้า” ทั้งใหม่ซึ่งรอจังหวะมานานโผล่ขึ้นมาประสานกับรุ่นเก่าในการบ่อนทำลายสถาบันกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง โดยมีกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังที่ต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อประโยชน์ทางการเมืองของกลุ่มการเมืองเหล่านั้น และใช้ประโยชน์จากเด็กรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งบังหน้า

การที่จะทำให้ประเทศหนึ่งใดเป็นรัฐล้มเหลว ไม่ต้องไปใช้การรุกราน บ่อนทำลายทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพียงแต่ทำอย่างไรจะทำให้คนในชาตินั้นไม่รู้ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของชาติตนแค่นั้นเอง ถ้าคนในชาติไม่รู้จักที่มา ก็ไม่รู้จักที่ไป ถ้าต้นไม้ใดไม่มีรากแก้ว ต้นไม้นั้นจะเติบโตยืนต้นแข็งแรงต้านทานพายุได้ยาก

ไม่ต้องดูอื่นไกล ในสนามกอล์ฟใหม่ๆหลายแห่ง ที่ใช้วิธีล้อมขุดเอาต้นไม้ใหญ่จากที่อื่นมาปลูกแบบสวยงามโตทันใจ ในฤดูฝนของแต่ละปี เราจะเห็นต้นไม้พวกนี้เจอล้มแรงล้มระเนระนาด ผิดกับต้นไม้ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงที่ยืนต้นท้าทายลมพายุได้สบาย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะต้นไม้ที่ล้อมขุดมาปลูกไม่มีรากแก้วยึดเหนี่ยวต้นไม้ไว้ พอเจอลมแรงหน่อยก็ล้ม แต่ต้นไม้ที่ขึ้นโดยธรรมชาติหรือปลูกตังแต่เล็ก เติบโตสูงใหญ่โดยมีรากแก้วยึดไว้ สามารถยืนหยัดต้านทานแรงพายุได้อย่างดี

เรื่องนี้คงหนีไม่พ้นกระทรวงศึกษาธิการที่รับผิดชอบการศึกษาของชาติ เด็กในชาติจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างไร ก็ต้องย้อนไปดูระบบการเรียนการสอนของกระทรวงนี้ซึ่งได้รับงบประมาณมากที่สุดติดต่อกันมานับสิบปี รายได้ทุกประเภทของครูผู้สอนอยู่ในลำดับต้นๆ หรือล้ำหน้าของข้าราชการพลเรือนทั่วไป

ไม่มีใครปฏิเสธว่า ยี่สิบปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนทาง “วิชาการ” ให้กับเด็กได้พัฒนาไปมาก มีระบบต่าง ๆ มากมายจนเด็กและผู้ปกครองสับสน แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประวิติศาสตร์ชาติไทย และหน้าที่พลเมืองดีและศีลธรรม ถูกสังคมวิจารณ์มาก

จึงไม่แปลกใจที่ทำไมในช่วงนี้ จึงมีการกล่าวหา ใส่ร้าย สถาบันกษัตริย์มากที่สุด เปิดเผยที่สุด อย่างไม่กลัวเกรงกฎหมาย จะเรียกว่า “เปิดหน้าชน” สถาบันกษัตริย์ และไปไกลมากกว่าการพัฒนา แต่ไปถึงล้มล้างสถาบันกษัตริย์เลยทีเดียว

การเรียนการสอนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ต้องทบทวนกันใหม่ ในช่วงประถมศึกษา ไม่ต้องไปสอนอะไรมาก แต่พาเด็กไป “ทัศนศึกษา” ให้มากที่สุด ให้เขาใช้สมองที่กำลังพัฒนาด้วยการ เรียนผ่านการดู ได้ยิน ได้รู้ ประวัติศาสตร์ไทยซึ่งมีหลักฐานพยานวัตถุ สถานที่ มากมายในแต่ละภาค

ในภาคเหนือมีกรุงสุโขทัย และจังหวัดโดยรอบ ในภาคกลางมีกรุงศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี ที่ กทม.มีกรุงธนบุรี พระบรมมหาราชวัง ฯลฯ ในภาคอีสาณ ภาคใต้ มีโบราณสถานทางประวัติศาสตร์มากมาย

เด็กนักเรียนไปดูนอกจากได้รับความรู้แล้ว ยังได้รับความสนุกสนานด้วย ความสนุกสนานทำให้จำง่าย ที่ กทม.นั้น นอกจากดูสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของกรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ วัดวาอารามสำคัญแล้ว ตบท้ายด้วยการชมสวนสัตว์

การศึกษาด้วยของจริง เรียนด้วยการทำ ด้วยการู้เห็นของจริง ทำให้สนุก และความสนุกทำให้ เข้าใจง่าย จำง่ายและจำได้นาน

คนมีงานทำมากขึ้น รถทัวร์มีงานมากขึ้น ไกดิ์มีงานทำมากขึ้น พ่อค้าแม่ค้าในพื้นที่ขายของได้มากขึ้น ครูก็หายเบื่อ ไม่ใช่สอนแต่ในห้องเรียนอย่างเดียว ผู้ปกครองคนไหยอยากไปด้วยก็ได้

พอชั้นมัธยม ก็พาไปชมสถานที่สำคัญมากขึ้น พร้อมอธิบายเพิ่มเติมอีกนิด แต่ไม่ต้องลงลึกในรายละเอียดและทั้งหมด เพราะพวกเขาไม่ได้เรียนมาเพื่อเป็นนักประวัติศาสตร์

ที่สำคัญคือ ให้นักเรียนรู้ว่า พระมหากษัตริย์ไทยพาบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยจากการคุกคามของต่างชาติทั้งที่เป็นเพื่อนบ้าน และชาติตะวันตก จากลัทธิทางการเมืองที่แตกต่างกัน ได้อย่างไร พระมหากษัตริย์ไทยได้พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ มาได้อย่างไร

นี่คือ บทบาทของพระมหากษัตริย์ต่อความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะริเริ่มพัฒนาประชาธิปไตย ความเท่าเทียมกันในสังคมจากการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 การพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัยแบบประเทศตะวันตก

โดยเฉพาะเมืองไทยสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่มีหลักฐานสัมผัสได้ และสามารถสอบถามพ่อแม่ญาติพี่น้อง ครูอาจารย์ ที่มีชีวิตอยู่ในสมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เราสามารถเรียนรู้ประเด็นต่าง ๆ โดยเฉพาะบทบาทของกษัตริย์กับการพัฒนาประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค การดำเนินความสัมพันธ์กับต่างประเทศ

ครูและผู้บรรยายก็อย่าพูดแสดงภูมิความรู้ของตนเกินวัยที่เด็กจะรับได้ เคยเห็นผู้บรรยายเก่งๆ ที่แทรกมุขขำขันแต่มีสาระ ทำให้นักเรียนสนุกสนาน เข้าใจและจำแม่น สิ่งที่อยากจะย้ำอีกครั้ง คือ ควรเน้นการศึกษา “ ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ “ ในช่วงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ 239 ปีเป็นสำคัญ ซึ่งมีเรื่องราวมากมาย อีกทั้งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่มองเห็นและจับต้องได้ นักเรียนและนักศึกษาจะไม่ตกเป็น “เหยื่อ” ของนักปลุกระดมล้มชาติล้มกษัตริย์

ระดับมัธยมปลายซึ่งเวลานี้เป็นเป้าหมายของการปลุกระดมของกลุ่มล้มเจ้า ผู้สอนต้องปรับการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการพัฒนาประชาธิปไตย สิทธิเสรีภาพ และหน้าที่ของพลเมืองดีด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาของพระมหากษัตริย์กับอำนาจอธิปไตย

พอเข้ามหาวิทยาลัย ใครที่สนใจศึกษาด้านประวัติศาสตร์หรืออยากเป็นนักประวัติศาสตร์ ก็ไปศึกษาต่อที่คณะอักษรศาสตร์ หรือที่มหาวิทยาลัยศิลปากร หรือมหาวิทยาลัย คณะที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ ได้ ซึ่งนิสิตนักศึกษาในคณะดังกล่าวจะต้องศึกษาประวัติศาสตร์กันอย่างละเอียด

หากทำได้อย่างนี้ ทั้งเด็กและผู้ใหญ่จะไม่ตกเป็น “เหยื่อ” ของกลุ่มล้มเจ้าที่กำลังอาละวาดอยู่ในปัจจุบัน

เมื่อต้นไม้มีราก ประเทศมีราก ประชาชนก็มีรากเช่นกัน เมื่อคนไทยรู้จักที่มา เขาก็รู้จักที่ไป ใครจะมาชักจูงเขาไปในทางที่ผิด เขาก็ไม่ไปด้วย

ย้อนหลังไปประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีการปรับเปลี่ยนการเรียนการสอน “วิชาประวัติศาสตร์”และ “วิชาละหน้าที่พลเมืองดีและศีลธรรม” กันครั้งใหญ่ โดยกลายเป็นวิชาเล็ก ๆ ที่ไปซุกอยู่ในกลุ่มวิชาใหญ่ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์และคัดค้านกันมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระพันปีหลวงในปัจจุบัน ขณะเป็นสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้แสดงความห่วงใยอย่างชัดเจน เปิดเผย ในหลายโอกาส แต่รัฐบาลขณะนั้นและกระทรวงที่เกี่ยวข้องก็มิได้ใส่ใจต่อพระราชเสาวนีย์ นอกจากแถลงว่า สองวิชาไม่ได้หายไปไหน แต่อยู่ในหมวดหมู่อื่น เมื่อตามไปตรวจสอบดูพบว่า เป็นเพียงวิชาเล็ก ๆ ที่ซ่อนอยู่ในหมวดใหญ่และไม่ได้รับความสำคัญใด ๆ

ถ้าอยากรู้ว่าเป็นรัฐบาลของใคร ใครเป็นรัฐมนตรีศึกษาธิการขณะนั้น ให้ไปค้นเอาเอง แม้แต่รัฐบาลชุดปัจจุบันก็มิได้ใส่ใจที่จะรื้อฟื้น พัฒนา ปรับปรุงการเรียนการสอนวิชาดังกล่าว

คนที่คิดไม่ดีใช้เวลา 20 ปีจนสถานการณ์สุกงอมมาถึงขณะนี้ จนสามารถใส่หัว ปลุกระดมคนหนุ่มสาวกลุ่มหนึ่งให้เชื่อและออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างกว้างขวางตลอดสองปีที่ผ่านมา เราคนไทยที่รักชาติ รักแผ่นดิน รักกษัตริย์ คงต้องเร่งรัดให้เร็วที่สุด เพราะเราปล่อยกันมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่สายเกินไป แม้ “วัวหายล้อมคอก” ก็ดีกว่า ไม่ล้อมคอกและปล่อยให้วัวหายไปเรื่อยๆ

ต้นไม้มีรากแก้ว ประเทศก็ต้องมีรากแก้ว นั่นคือ ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามของประเทศ

*******************