posttoday

ขอเป็นรัฐมนตรีเพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล

02 พฤษภาคม 2563

โดย...ทวี สุรฤทธิกุล

******************

ตำแหน่งรัฐมนตรีมี “คุณค่า” หรือ “มูลค่า” กันแน่ ทำไมจึงแย่งกันเป็นนัก

ฟังข่าวที่มีความเคลื่อนไหวจะให้มีการปรับคณะรัฐมนตรี โดยมีรายชื่อนักการเมืองที่เคยมีประวัติฉาวโฉ่จะเข้ามาแทนที่รัฐมนตรีที่ยังไม่มีประวัติเสียหายอะไร ก็ให้รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน แต่พอนึกถึงประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรื่องหนึ่งขึ้นมา ก็พอทำใจได้ว่า “มันก็เป็นเช่นนี้แหละ”

ประวัติศาสตร์การเมืองไทยเรื่องนี้เล่าโดยท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ใน พ.ศ.2526 ที่พรรคกิจสังคมได้รับเชิญให้ร่วมรัฐบาลของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ซึ่งมีปัญหาการวิ่งเต้นขอตำแหน่งรัฐมนตรีจนหัวหน้าพรรคคือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้นจะเป็นบ้า โดยในช่วงเวลานั้นผู้เขียนทำงานเป็นเลขานุการของท่าน จึงได้รับรู้เรื่องความเดือดร้อนของท่านอาจารย์คึกฤทธิ์อย่างใกล้ชิด และรู้สึกเห็นใจคนที่ต้องรับความทุกข์แสนสาหัสขนาดนั้น พร้อมกับเกิดความเข้าใจว่า “นี่แหละการเมืองไทย”

รัฐบาลชุดนั้นเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 18 เมษายน 2526 ผลการเลือกตั้งปรากฏว่าพรรคชาติไทยกับพรรคกิจสังคมได้ ส.ส.เข้ามาจำนวนใกล้เคียงกัน พรรคชาติไทยพยายามรวบรวม ส.ส.ให้ได้มากกว่าและกำลังจะเสนอชื่อพลตำรวจเอกประมาณ อดิเรกสาร หัวหน้าพรรคชาติไทยขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี แต่พรรคกิจสังคมได้แก้เกมโดยการเสนอชื่อพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีคนเดิมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งก็ประสบความสำเร็จ โดยภายหลังการประชุมสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีในวันนั้นจบลง ในตอนหัวค่ำพลเอกเปรมก็ได้เดินทางไปบ้านสวนพลู เพื่อขอบคุณพรรคกิจสังคม และขอให้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ช่วยตั้งรัฐบาลครั้งนี้ให้เรียบร้อยต่อไป

โทรศัพท์ที่บ้านท่านอาจารย์คึกฤทธิ์มี 2 เครื่อง 2 หมายเลข (ใน พ.ศ.นั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งกว่าจะมีใช้รุ่นแรกๆ ก็ราว พ.ศ. 2531 – 2532) ตั้งอยู่ใต้ถุนใกล้โต๊ะกินข้าว 1 เครื่อง และในห้องครัวอีก1 เครื่อง ปกติท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะไม่รับโทรศัพท์เอง โดยจะมีเลขานุการคือผู้เขียนคอยรับเครื่องที่อยู่ใกล้โต๊ะกินข้าว และมีต้นห้องคือคุณสละคอยรับเครื่องที่อยู่ในห้องครัว

แต่พอเกิดวิกฤติ “ตั้ง ค.ร.ม.” ท่านก็ให้เปลี่ยนเครื่องในห้องครัวซึ่งอยู่ใกล้โต๊ะที่ท่านนั่งทำงานและรับแขกเป็น “โทรศัพท์เคลื่อนที่” คือเป็นเครื่องที่ยกตัวหูฟังออกมาจากฐานเครื่องได้โดยไม่ต้องใช้สาย แล้วถ้าท่านก็ให้ผู้เขียนแจ้งแก่ผู้คนที่ต้องการจะติดต่อใน “เรื่องสำคัญ” ว่าให้ใช้หมายเลขนี้ ภายหลังเมื่อตั้งคณะรัฐมนตรีเสร็จแล้ว โทรศัพท์เครื่องนี้ก็พังในทันที ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ได้ให้เอาแผ่นทองคำเปลวมาปิดแล้วเก็บเข้ากล่องเอาไปไว้ที่ห้องนอนของท่าน

โทรศัพท์นั้นดังกริ๊งกร๊างตลอดวันตั้งแต่เช้ามืดไปจนถึงดึกดื่นเที่ยงคืน แต่ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็เลือกคุยกับบางคนเท่านั้น ดังนั้นนักการเมืองจำนวนหนึ่ง(ที่ผู้เขียนสังเกตว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ไม่รับโทรศัพท์)ก็จะเข้ามาหาที่บ้าน บางคนก็มาแต่เช้ามืด บางคนก็มาตอนมืดๆ เข้าใจว่าจะเป็นพวกตื่นเต้นมากไป(มาแต่เช้า)กับพวกขี้อายมากไป(มาตอนค่ำมืด) บางสายโทรศัพท์ที่ผู้เขียนต้องได้ยินเพราะนั่งรอเดินเครื่องไร้สาย(นึกภาพคนที่ส่งไมค์เวลาที่ไปร้องคาราโอเกะ)

รวมทั้งการพูดคุยกับบางคนที่ต้องรอ “รับและไล่” อยู่ใกล้ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นั้น พอจับใจความได้ว่าผู้ที่โทรมาและเข้ามาคุยด้วยเหล่านั้น “มีความทุกข์ทรมานเพียงใด” (ใครนึกภาพไม่ออกก็ลองนึกถึงภาพของคนที่บากหน้าไปที่กระทรวงการคลังเพื่อทวงสิทธิรับแจกเงิน5,000 บาทนั่นแหละ) แต่ที่ทุกข์ทรมานมากกว่าก็คือท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ เพราะไม่ใช่จะทรมานแค่ “ปวดหู” ที่ต้องทนฟังคำอ้อนวอนที่เสกสรรปั้นแต่งมาอย่างน่าสงสารแล้ว ยังต้อง “ปวดหัว” ที่จะต้องหาทางแก้ไขเยียวยาให้แก่คนเหล่านั้น

พอเวลาผ่านไปสัก 2 วัน ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็ให้หลานของท่านคือ “คุณหญิงมด” ม.ร.ว.ระย้าทิพย์ อินทรทูต (สกุลเดิม เทวกุล) ไปหาหมากพลูมาให้สักสำรับหนึ่ง โดยสำรับนั้นประกอบด้วย ครกทองเหลืองกับสากกระบื้องเล็กๆ มีดตัดชิ้นหมาก มีดเจียนใบพลู กระปุกใส่ปูน ใส่พิมเสน และใบยาสูบ พร้อมด้วยตระกร้าใส่วางมาพร้อมหมากหลายลูกและใบพลูราวกำมือหนึ่ง โดยท่านอาจารย์คึกฤทธิ์จะลงตำและมือห่อหมากพลูด้วยตัวของท่านเองอย่างเชี่ยวชาญ ซึ่งท่านก็บอกว่าเคยเห็นผู้ใหญ่สมัยก่อนทำแบบนี้มาแต่เด็กๆ และเคยแอบทำเคี้ยวเล่นอยู่บ่อยๆ (สมัยปี 2518 ที่ท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีและต้องตั้งรัฐบาลที่พรรคกิจสังคมมี ส.ส. เพียง18 คน

ท่านก็เคยเรียกสำรับหมากพลูนี้มารับประทานหลายครั้งแล้วเช่นกัน) ท่านบอกว่าการเคี้ยวหมากนี้ทำให้ “ผ่อนคลาย” อย่างหนึ่งก็คือ “คลายประสาท” จากความตึงเครียดที่ต้องพูดคุยกับผู้คนที่เอาแต่ใจตัวเอง และอีกอย่างหนึ่งนั้นก็คือ “คลายสถานการณ์” เพราะบางทีท่านก็ใช้น้ำหมากนี้ไล่คนที่มาหาให้รีบลุกออกไปเสียได้ คือถ้าใครคุยไม่รู้เรื่อง ท่านก็จะใช้เสียงบ้วนน้ำหมากนั้นเป็นสัญญาณในการขับไล่ ซึ่งหากใครยังไม่ลุกไปอีก ท่านก็จะหันมาพูดกับผู้เขียนแล้วพูดว่า “ก๊วยเจ๋งเอ๊ย เอาน้ำหมากในกระโถนนี่ไปทิ้งที มันโง่มาก พูดไม่รู้เรื่อง ไม่รู้จะไปให้พ้นหูพ้นตาสักที” นั่นก็คือเราต้องไปสะกิดให้คนๆ นั้นรีบกลับโดยไว

ผู้เขียนนั่งฟังเหตุผลของหลายๆ คนที่มาขอเป็นรัฐมนตรี ส่วนใหญ่จะอ้างว่ามีความสนใจกระทรวงนั่นกระทรวงนี้เพราะตนเองมีความเชี่ยวชาญ เคยเป็นกรรมาธิการในด้านนั้นมาหลายสมัย อยากใช้ความรู้และประสบการณ์สร้างคุณประโยชน์ให้บ้านเมือง แต่พอเห็นท่านอาจารย์คึกฤทธิ์นิ่งเงียบก็จะพูดขึ้นเบาๆ ในตอนท้ายว่า “ผมต้องดูแล ส.ส.หลายคน ผมจะช่วยสร้างพรรค และช่วยท่านหัวหน้าดูแล ส.ส.ครับ”

หลังการตั้งรัฐมนตรีเสร็จสิ้น ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ให้คุณหญิงมดทำข้าวแช่ชุดใหญ่มาเลี้ยงญาติสนิทมิตรสหาย ลูกศิษย์คนหนึ่งถามขึ้นมาว่าท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ใช้เกณฑ์อะไรมาคัดคนเข้าไปเป็นรัฐมนตรี ท่านบอกว่าตำแหน่งรัฐมนตรีนั้นเป็นตำแหน่งแห่ง “เกียรติยศ” คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีต้องมีเกียรติพอ เพราะฉะนั้นท่านก็จะให้ตำแหน่งนี้แก่คนที่ “ขอเป็นรัฐมนตรีเพื่อเกียรติยศของวงศ์ตระกูล” ลูกศิษย์คนเดิมถามต่อไปว่า ที่ตั้งๆ มามีแต่รายชื่อของคนแย่ๆ ทั้งนั้น ไม่เห็นจะมีเกียรติหรือมีสง่าราศรีอะไรดีเด่นเลย

คำตอบจากท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ก็คือ “ตัวเขาก็ไม่มีเกียรติอย่างว่าแหละ ที่ตั้งไปก็เผื่อบรรพบุรุษของเขาจะได้อับอายขายหน้ากับลูกหลานของตัวเองบ้าง ชาติหน้าจะได้ไม่ให้คนเหล่านี้มาผุดมาเกิดเพื่อทำลายชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูลนั้นอีกต่อไป”

******************************