posttoday

ลูบหลังพุทธะอิสระ บิ๊กตู่รักษาพันธมิตร

29 พฤษภาคม 2561

ประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศว่ามีการล้างบางวงการสงฆ์ครั้งใหญ่

โดย ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ประเทศไทยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศว่ามีการล้างบางวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นปฏิบัติการที่ไม่เคยมีมาก่อนสำหรับประเทศที่มีศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติอย่างไทย

โดยมีการจับกุมพระที่มีสมณระดับสูงและให้ลาสิกขาถึง 5 รูป ตามหมายจับคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรมตั้งแต่ปี 2557 รวมกว่า 150 ล้านบาท ได้แก่ 

1.พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร 

2.พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

3.พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือ เจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ

4.พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร 

5.พระอรรถกิจโสภณ เลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร วัดสามพระยา 

คดีเงินทอนวัด เป็นคดีที่หน่วยงานรัฐได้ดำเนินการตรวจสอบมาเป็นระยะ ซึ่งก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติฟ้องคดีให้เอาผิดกับเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงไปแล้วหลายราย

อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าจะมีเพียงกรณีของคดีเงินทอนวัดเท่านั้นที่สะท้านวงการสงฆ์ แต่ในเวลาเดียวกันหน่วยงานรัฐได้ดำเนินคดี กับ “พระพุทธะอิสระ” หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ในข้อหาอั้งยี่ซ่องโจร รวมทั้งในคดีปลอมพระปรมาภิไธย 

สำหรับกรณีของพระพุทธะอิสระนั้นต้องถือว่าเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากต้องไม่ลืมว่าพุทธะอิสระเป็นหนึ่งในพระที่มักจะเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต่อต้าน “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่การชุมนุมของคณะกรรมการพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จนมาถึงการชุมนุมของกลุ่มประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) 

ลูบหลังพุทธะอิสระ บิ๊กตู่รักษาพันธมิตร

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครั้งการชุมนุมของ กปปส. ปรากฏว่าพระพุทธะอิสระมีบทบาทเป็นอย่างมากด้วยการเป็นผู้จัดการเวทีการชุมนุมที่แจ้งวัฒนะ ยิ่งไปกว่านั้นได้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปะทะกับ
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลความสงบหลายครั้ง 

ทว่าภายหลังการรัฐประหารในปี 2557 เปลี่ยนบทบาทมาเป็น “สารวัตรพระ” ผ่านการเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลเร่งดำเนินการทางกฎหมายกับกลุ่มวัดพระธรรมกายเป็นระยะ ก่อนที่จะต้องยุติบทบาทแบบไม่เต็มใจ หลังจากถูกดำเนินคดีและต้องลาสิกขาด้วยข้อหาฉกรรจ์ทั้งสองข้อหา

การจับพระพุทธะอิสระกลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นเพราะได้มีการเผยแพร่คลิประหว่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุมถึงในห้องนอนที่วัด ซึ่งเป็นการปฏิบัติประหนึ่งผู้ต้องหาคดีอาญาร้ายแรงที่มีโทษถึงประหารชีวิต

เรื่องดังกล่าวสร้างความไม่พอใจกับกลุ่มคนที่ยังคงศรัทธาพระพุทธะอิสระเป็นอย่างมาก จนกระทั่งรัฐบาลต้องออกมาขอโทษถึงการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ได้ลงมือเกินกว่าเหตุ

“นายกฯ ขอโทษแทนเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเสียความรู้สึก โดยได้ว่ากล่าวตักเตือนและกำชับไปแล้วว่าต้องไม่มีเหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีก รวมทั้งยังได้ฝากขอโทษ สุวิทย์ (อดีตพระพุทธะอิสระ) ที่อาจได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ด้วย” เป็นคำพูดของ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พ.ค. ที่อ้างถึงคำขอโทษของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงกรณีดังกล่าว

น่าสนใจไม่น้อยกับท่าทีของรัฐบาลในการตบหัวแล้วลูบหลังครั้งนี้ เพราะถ้ามองกันโดยทั่วไปแล้วหน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ต้องดำเนินการตามกฎหมายอยู่แล้ว ประกอบกับคดีเป็นคดีอาญาที่มีโทษร้ายแรง จึงยิ่งสมควรทำงานอย่างเคร่งครัด แต่ทำไปทำมากลับมาขอโทษหน้าตาเฉย

ทั้งนี้ ในอดีตกลุ่มทหารบูรพาพยัคฆ์นั้นมีความสัมพันธ์กับอดีตพระพุทธะอิสระอยู่ไม่น้อย โดยมีภาพที่ไปร่วมงานบุญในอดีต ส่งผลให้ที่ผ่านมาทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และนายทหารกลุ่มอีกหลายคนถูกมองว่าเป็นพันธมิตรกับฝ่ายต่อต้านทักษิณ

ขณะเดียวกันฐานสนับสนุนของ พล.อ.ประยุทธ์ ในปัจจุบันต่างมาจากกลุ่มลูกศิษย์ของอดีตพระมีชื่อรายนี้ แม้มวลชนกลุ่มอื่นจะเริ่มตีตัวออกห่างจากการสนับสนุน คสช. แต่ยังมีกลุ่มของอดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยที่อยู่ข้างเดียวกับ พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.

ด้วยเหตุนี้เมื่อภาพของการทุบประตูกุฏิเพื่อเข้าไปจับผู้นำมวลชนทั้งผ้าเหลือง จึงนำมาซึ่งความไม่พอใจ คสช.พอสมควร และพานไปถึงอาจไม่สนับสนุน คสช.อีกต่อไป 

พล.อ.ประยุทธ์ จึงออกมาขอโทษผ่านโฆษกของรัฐบาล ย่อมมองแล้วว่าหากปล่อยให้กระแสบานปลาย จะไม่ต่างอะไรกับการผลักมิตรให้เป็นศัตรู และอาจจะกระทบงานใหญ่ในอนาคต โดยเฉพาะการลงเลือกตั้งเพื่อกลับมาสู่อำนาจอีกครั้ง 

นับว่า พล.อ.ประยุทธ์ และ คสช.ยังโชคดีไม่น้อยที่อดีตพระพุทธะอิสระไม่ได้ปลุกมวลชนให้มายืนฝั่งตรงข้ามกับ คสช. มิเช่นนั้น คสช.อาจไม่เหลือพันธมิตรในการทำศึกใหญ่แน่นอน

ดังนั้น การขอโทษผู้ต้องหาในคดีอาญาของผู้นำประเทศ ด้านหนึ่งอาจดูแปลกตาไปบ้าง แต่ภายใต้สถานการณ์ทางการเมืองเช่นนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงต้องยอมทำใจให้ชินไปเอง