posttoday

"ทักษิณ" คิด "ประยุทธ์" ดูด!

19 เมษายน 2561

หมากเกมนี้ของ คสช.ในการดูดอดีต สส.เข้าพรรคตัวเอง แทบจะเดินตามรอยเท้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้อย่างแนบสนิท

หมากเกมนี้ของ คสช.ในการดูดอดีต สส.เข้าพรรคตัวเอง แทบจะเดินตามรอยเท้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้อย่างแนบสนิท

****************************

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

“ที่ปรึกษานายกฯ เรื่องการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินก็มี ซึ่งผมก็จะฟังเขาว่าเห็นอย่างไร ผมจำเป็นต้องมีคนเหล่านี้เข้ามาบ้าง เพื่อมาทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเอาคนนี้มาเพื่อประโยชน์อะไรของตัวเอง มันไม่ใช่ วันนี้กำลังจะเดินหน้าไปสู่ตรงนั้น ผมก็ต้องมีคนที่รู้เรื่องเหล่านี้มาให้คำปรึกษาว่าเป็นอย่างไร เพราะผมก็ไม่รู้ว่าการเมืองมันทำกันมาอย่างไร ดังนั้น จึงต้องรู้บ้าง”

เป็นคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา ภายหลังแต่งตั้งให้ “สนธยา คุณปลื้ม” หัวหน้าพรรคพลังชล เป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี และ “อิทธิพล คุณปลื้ม” อดีตนายกเทศมนตรีเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อไม่น้อยที่ พล.อ.ประยุทธ์ ดึงเอานักการเมืองเข้ามาร่วมงานกับรัฐบาลแบบตรงไปตรงมา ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ประกาศมาตลอดว่าตัวเองไม่ชอบบรรดานักการเมืองยิ่งกว่าอะไร แต่ทำไม พล.ประยุทธ์ กลับทำอะไรย้อนแย้งอย่างนั้น

ก่อนการรัฐประหารในปี 2557 พรรคพลังชลเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดัน “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี จากการออกแรงสนับสนุนดังกล่าวทำให้พรรคพลังชลได้มีรัฐมนตรีเข้ามานั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี คือ สุกุมล คุณปลื้ม รมว.วัฒนธรรม ในเวลานั้น ก่อนที่สนธยาจะเข้ามานั่งในตำแหน่งดังกล่าวในเวลาต่อมา

การกระทำที่ย้อนแย้งของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเป็นการตอกย้ำว่าการตั้งพรรคการเมืองของ คสช.กำลังเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นทุกขณะ

ในระยะหลังมักจะปรากฏความเคลื่อนไหว “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งทำหน้าที่ประสานงานกับกลุ่มการเมืองหลายกลุ่ม ทั้งกลุ่มบ้านริมน้ำของ สุชาติ ตันเจริญ กลุ่มสะสมทรัพย์ ของ ไชยา สะสมทรัพย์ เข้ามาร่วมงานกับพรรคของ คสช.เพื่อสถาปนาตัวเองเป็นการเมืองขั้วที่ 3 ท้าชิงกับ “ประชาธิปัตย์-เพื่อไทย”

พิจารณาจากการดำเนินการตั้งพรรคของ คสช.จะเห็นได้ว่าเป็นปฏิบัติการดูด สส.ทีละภูมิภาค ไม่ได้เป็นการดูดอดีต สส.มาเข้าสังกัดเป็นรายคนแต่อย่างใด

อย่างในกรณีของพรรคพลังชล จะพบว่าเป็นพรรคการเมืองที่มีลักษณะผูกขาดพอสมควร ดังเห็นได้จากตัวเลขของการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2554 ซึ่งพรรคพลังชลสามารถกวาด สส.ชลบุรีได้ถึง 6 คนจากทั้งหมด 8 คน และยังได้ สส.บัญชีรายชื่อมาอีก 1 คน

ลงลึกเข้าไปยังรายละเอียดของตัวเลขคะแนนเลือกตั้งปี 2554 ที่พรรคพลังชลได้รับนั้นก็มีความน่าสนใจเช่นกัน โดยได้คะแนน สส.ระบบบัญชีรายชื่อจำนวน 178,042 คะแนน ขณะที่ คะแนนเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้งเฉพาะ จ.ชลบุรี จำนวน 8 เขตมีรวมด้วยกัน 239,737 คะแนน รวมทั้งคะแนนทั้งสองระบบจะอยู่ 417,779 คะแนน

เมื่อพรรคพลังชลมีฐานคะแนนอยู่เดิมประมาณ 4 แสนคะแนน ประกอบกับระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่มีบัตรเลือกตั้ง สส.เพียงแค่ระบบแบ่งเขตเลือกตั้งใบเดียวแต่เลือก สส.บัญชีรายชื่อไปพร้อมกันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้พรรคที่ผูกขาดในแต่ละภูมิภาค ย่อมมีโอกาสจะได้ สส.ทั้งสองระบบมากขึ้นเท่านั้น พรรคพลังชลจึงตอบโจทย์ตรงนี้

แน่นอนว่าในภาคตะวันออก คสช.คงจะไม่หยุดที่ จ.ชลบุรีเท่านั้น ต้องไม่ลืมว่า คสช.เป็นผู้ผลักดันโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก จนสามารถออกมาเป็นกฎหมาย ทำให้มีความเป็นไปได้ไม่น้อยที่ สส.ของพรรคอื่นในภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งของพรรคประชาธิปัตย์จะถูกดูดเข้ามาสมทบอีก

แต่การจะกลับมาใหญ่อีกครั้งในอนาคต จะอาศัยแค่ละเสียงของบางภูมิภาคคงไม่พอ แต่ต้องอาศัยกำลังภายในจากนักการเมืองอีกหลายพรรค เช่น ภาคอีสานและภาคเหนือ ถึงจะผูกขาดโดยพรรคเพื่อไทยเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่หากสามารถดึงแขนขาของพรรคเพื่อไทยออกมาได้บางส่วน ฐานเสียงที่เคยแข็งแรงของพรรคเพื่อไทยอาจอ่อนลงได้ จึงไม่แปลกที่ระยะนี้รัฐบาลจะจัดสรรงบประมาณลงไปในท้องถิ่นค่อนข้างมากที่เน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลักผ่านกฎหมายงบประมาณกลางปีฉบับล่าสุด

หมากเกมนี้ของ คสช.ในการดูดอดีต สส.เข้าพรรคตัวเอง แทบจะเดินตามรอยเท้าของ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตหัวหน้าพรรคไทยรักไทยได้อย่างแนบสนิท

ย้อนกลับไปภายหลังการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 พรรคไทยรักไทยดูดพรรคการเมืองที่มี สส.เข้าพรรคผ่านกระบวนการที่เรียกว่าการควบรวมเป็นจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่ พรรคเสรีธรรม พรรคความหวังใหม่ พรรคชาติพัฒนา ทำให้พรรคไทยรักไทยมี สส.ในสภาผู้แทนราษฎรมากถึง 325 คน

หนึ่งในคนข้างกายที่เคยล่มหัวจมท้ายกับทักษิณมาก่อนในอดีต ไม่ใช่ใครอื่นไกล คือ รองนายกฯ สมคิด ที่วันนี้กลายมาเป็นขุนพลข้างกายของ พล.อ.ประยุทธ์

จากฐานที่มี 325 เสียง สามารถต่อยอดได้ถึง 375 เสียงในการเลือกตั้งปี 2548 อย่าได้แปลกใจว่าทำไมโมเดลของทักษิณ ถึงได้กำลังโดนใจคนเกลียดนักการเมืองอย่าง คสช.ให้เดินตาม