posttoday

ประชามติ ‘เหนือ-อีสาน’ ฐานการเมืองคงเดิม

09 สิงหาคม 2559

ผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงออกมาอย่างไม่เป็นทางการ

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ผลการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงออกมาอย่างไม่เป็นทางการ โดยร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบ 61.40% ต่อ 38.60% ส่วนคำถามพ่วงเรื่องการให้ สว.ร่วมเลือกนายกรัฐมนตรีกับ สส.ได้รับความเห็นชอบ 58.11% ต่อ 41.89%

โฟกัสไปเฉพาะผลคะแนนการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จะเห็นได้ว่าเป็นสัดส่วนที่มากกว่าเมื่อเทียบกับประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 ซึ่งครั้งนั้นร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบด้วยสัดส่วน 57.81% ต่อ 42.19%

มองเป็นรายภาคผลคะแนนมีดังนี้ ภาคเหนือ เห็นชอบ 57.67% ไม่เห็นชอบ 42.33% ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ภาคอีสาน) เห็นชอบ 48.58% ไม่เห็นชอบ 51.42% ภาคกลาง เห็นชอบ 69.47% ไม่เห็นชอบ 30.53% ภาคตะวันออก เห็นชอบ 74.03% ไม่เห็นชอบ 25.97% ภาคตะวันตก เห็นชอบ 75.56% ไม่เห็นชอบ 24.44% ภาคใต้ เห็นชอบ 76.65% ไม่เห็นชอบ 23.35%

หากจะมองว่านัยทางการเมืองของผลประชามติที่ออกมาอยู่ที่ภูมิภาคใด แน่นอนว่าต้องพุ่งเป้าไปที่ “ภาคเหนือ-ภาคอีสาน” เพราะเป็นฐานทางการเมืองสำคัญของพรรคเพื่อไทย

เริ่มกันที่ “ภาคอีสาน” แม้ว่าในภาพรวมของการประชามติร่างรัฐธรรมนูญ จะไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญคิดเป็น 51.42% เห็นชอบ 48.58% แต่พบว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยลงเมื่อเทียบกับการประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 ซึ่งมีสัดส่วนที่ไม่เห็นชอบ 62.80% เห็นชอบ 37.20%

โดยมี 5 จังหวัดที่ลงประชามติเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 ประกอบด้วย เลย ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 56.93% เห็นชอบ 43.07% ปี 2559 เห็นชอบ 54.17% ไม่เห็นชอบ 45.83% นครราชสีมา ปี 2550 เห็นชอบ 64.11% ไม่เห็นชอบ 35.89% ปี 2559 เห็นชอบ 59.16% ไม่เห็นชอบ 40.84% บุรีรัมย์ ปี 2550 เห็นชอบ 55.20% ไม่เห็นชอบ 44.80% อำนาจเจริญ ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 50.83% เห็นชอบ 49.17% ปี 2559 เห็นชอบ 54.8% ไม่ เห็นชอบ 45.2% และ อุบลราชธานี ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 56.45% เห็นชอบ 43.55% ปี 2559 เห็นชอบ 54.55% ไม่เห็นชอบ 45.45%

ขณะที่ภาคเหนือคะแนนโดยรวมยังคงเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2559 เหมือนกับประชามติร่างรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 แต่สัดส่วนของจำนวนบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญกลับลดลง โดยปี 2550 เห็นชอบ54.47% ไม่เห็นชอบ 45.53% ปี 2559 เห็นชอบ 57.67% ไม่เห็นชอบ 42.33%

สำหรับภาคเหนือมี 4 จังหวัด ที่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ได้แก่ แม่ฮ่องสอน ปี 2550 เห็นชอบ 69.25% ไม่เห็นชอบ 30.75% ปี 2559 เห็นชอบ 66.39% ไม่เห็นชอบ 33.61% ลำปาง ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 58.50% เห็นชอบ 41.50% ปี 2559 เห็นชอบ 51.61% ไม่เห็นชอบ 48.39% น่าน ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 60.79% เห็นชอบ 39.21% ปี 2559 เห็นชอบ52.95% ไม่เห็นชอบ 47.05% และ อุตรดิตถ์ ปี 2550 เห็นชอบ 59.46% ไม่เห็นชอบ 40.54% ปี 2559 เห็นชอบ 60.14% ไม่เห็นชอบ 39.86%

แม้จังหวัดในภาคเหนือที่เป็นเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทยอย่างเชียงใหม่และเชียงราย จะมีมติไม่เห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญ แต่เมื่อลงลึกไปในตัวเลขแล้วปรากฏว่ามีสัดส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญลดลง

เชียงใหม่ ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 56.73% เห็นชอบ 43.27% ปี 2559 ไม่เห็นชอบ 54.3% เห็นชอบ 45.7% เชียงราย ปี 2550 ไม่เห็นชอบ 63.70% เห็นชอบ 36.30% ปี 2559 ไม่เห็นชอบ 55.36% เห็นชอบ 44.64%

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้มีนักวิชาการในพื้นที่แสดงทัศนะเอาไว้อย่างสนใจ “ยอดพล เทพสิทธา” อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร วิเคราะห์ในส่วนของภาคเหนือว่า ต้องยอมรับว่ามีปัจจัยหลายอย่าง เช่น ในปี 2550 รัฐบาลในขณะนั้นได้เปิดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่เมื่อเทียบกับฝ่ายผู้มีอำนาจรัฐในปัจจุบัน รวมไปถึงแรงจูงใจของประชาชนเพื่อให้ออกไปใช้สิทธิออกเสียง

“คิดว่าการที่คนส่วนใหญ่ลงมติเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ แบ่งออกได้เป็นสองแนวทาง ได้แก่ ต้องการให้เกิดการเลือกตั้ง เพราะไม่ต้องการให้ คสช.อยู่ในอำนาจนาน ซึ่งแม้แต่ในกลุ่มของพรรคเพื่อไทยบางคนก็อยากลงเลือกตั้งเหมือนกัน เพราะการทำให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นได้เร็วที่สุด คือ การให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ หรืออีกเหตุผลที่คนเห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญคือ เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญเพราะชื่นชอบ คสช.จริงๆ” ยอดพล ระบุ

ส่วนกรณีของภาคอีสาน “ฐิติพล ภักดีวานิช” คณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี มองว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างเพียงพอที่จะสามารถตัดสินใจลงประชามติได้ ดังนั้นการวิเคราะห์เสียงของประชาชนที่ออกมาจึงประเมินได้ค่อนข้างยาก แต่ส่วนตัวคิดว่าเป็นการใช้สิทธิเพราะเชื่อว่าถ้าร่างรัฐธรรมนูญผ่านจะทำให้ประเทศไปสู่การเลือกตั้ง ไม่ได้หมายความว่ายอมรับกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้

“คิดว่าผลการออกเสียงประชามติที่มีเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญเพิ่มขึ้น ไม่ได้มีผลต่อฐานเสียงของพรรคการเมือง เพราะพรรคการเมืองกับประชาชนในพื้นที่ต่างมีการเชื่อมโยงระหว่างกันมาเป็นเวลานานอยู่แล้ว” ฐิติพล แสดงทัศนะ

สุเชาวน์ มีหนองหว้า คณบดีคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี เห็นว่า ฐานเสียงหรือภูมิศาสตร์ทางการเมืองยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงมากนัก หลังจากผลประชามติออกมา โดยไม่ต้องลืมว่าการออกเสียงประชามติไม่ได้มีแรงกระตุ้นมากนักเมื่อเทียบกับการเลือกตั้ง สส.

“ถ้าเป็นการเลือกตั้ง สส.จะมีตัวผู้สมัคร สส.เป็นแรงกระตุ้นให้ประชาชนไปใช้สิทธิ แต่สำหรับการประชามติไม่ได้มีแรงกระตุ้นเช่นนั้น อีกทั้งนักการเมืองในพื้นที่เองก็ถูกจับตาพอสมควรด้วย”

สุเชาวน์ สรุปว่า ที่สุดแล้วผลของการประชามติจะไม่มีผลต่อพื้นที่หรือฐานเสียงของพรรคการเมืองมากนัก เพราะการลงคะแนนในการทำประชามติกับเลือกตั้งมีความแตกต่างกัน ซึ่งคิดว่าการที่คนส่วนใหญ่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้นเนื่องจากต้องการให้มีการเลือกตั้ง

ข่าวล่าสุด

กรมชลฯ สั่งเฝ้าระวังและเตรียมเครื่องจักรรับมือฝนหนักภาคใต้ 11–15 ธ.ค. นี้