คุโรบูตะ หมูดำ ฉ่ำ หวาน อร่อยขั้นเทพ
ว่ากันว่า ถ้ายกย่องให้ โกเบ มัตสึซากะ หรือวางุ เป็นเทพแห่งเนื้อกันแล้วละก็ คุโรบูตะ (Kurobuta)
ว่ากันว่า ถ้ายกย่องให้ โกเบ มัตสึซากะ หรือวางุ เป็นเทพแห่งเนื้อกันแล้วละก็ คุโรบูตะ (Kurobuta)
โดย...สาโรจน์ มีวงษ์สม
ว่ากันว่า ถ้ายกย่องให้ โกเบ มัตสึซากะ หรือวางุ เป็นเทพแห่งเนื้อกันแล้วละก็ คุโรบูตะ (Kurobuta) หรือหมูดำ ก็คือราชันย์แห่งหมู ที่ถูกยกระดับว่าอร่อยที่สุดในโลกเช่นกัน และเมื่อได้มีโอกาสลิ้มลองต้องยอมรับแต่โดยดีว่า คุโรบูตะ หรือหมูดำนี้อร่อยขั้นเทพจริงๆ
คุโร ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า ดำ ส่วนบูตะ แปลว่า หมู คุโรบูตะจึงหมายถึงหมูดำที่โด่งดังของญี่ปุ่น
ฟังจากนามเรียกขาน เจ้าหมูดำตัวนี้จะมีสัญชาติไหนไปไม่ได้นอกเสียจากญี่ปุ่น แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว หมูสายพันธุ์นี้ถูกค้นพบครั้งแรกในประเทศอังกฤษต่างหากล่ะ ซึ่งค้นพบราวศตวรรษที่ 17 โดย โอลิเวอร์ ครอมเวลล์ และเรียกชื่อพันธุ์นี้ว่า เบิร์กเชอร์
ต่อมาในราวศตวรรษที่ 18 ราวๆ สมัยเมจิ (ค.ศ. 1912-1926) ได้มีการมอบหมูสายพันธุ์นี้ให้เป็นของขวัญแด่จักรพรรดิญี่ปุ่น และอีกล่ะนะด้วยอุปนิสัยชอบคิดชอบค้นคว้าของคนญี่ปุ่นเป็นทุนเดิม จึงได้มีการพัฒนาสายพันธุ์หมูเบิร์กเชอร์ของแดนผู้ดีได้ดีกว่า จนกลายเป็นที่นิยมไปทั้งเกาะญี่ปุ่นในเวลาไม่นานนัก เลยเปลี่ยนนามเสียใหม่ว่า Kurobuta หรือ Black Hog กระทั่งส่งขายไปทั่วโลกจนโด่งดัง กลายเป็นของล้ำค่าแห่งแดนอาทิตย์อุทัยไปเสียเฉิบ
“คุโรบูตะเป็นที่นิยมมากในญี่ปุ่น เพราะรสชาติอร่อยและสามารถเข้ากันได้ดีกับอาหารญี่ปุ่นที่หลากหลาย เมืองที่เลี้ยงคุโรบูตะที่โด่งดังที่สุดคือ คะโงชิมะ ผมได้ยินมาว่าเขาให้กินเหล้าโซจู ซึ่งเมืองนี้ขึ้นชื่อในเรื่องการทำเหล้าโซจูโดยใช้โปเตโต ซึ่งเจ้าคุโรบูตะน่าจะชอบมันฝรั่ง และถ้าจำไม่ผิดจะมีการนวดแบบเนื้อโกเบด้วย”
ซาโตชิ ซาวาดะ เชฟใหญ่มากประสบการณ์แห่งร้านอาหารญี่ปุ่น ชินทาโร (Shintaro) โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ กรุงเทพฯ เกริ่นถึงเจ้าคุโรบูตะ ดาวรุ่งพุ่งแรงเป็นการเรียกน้ำย่อยได้อย่างเคลิบเคลิ้ม ก็ดูแค่การเลี้ยงนั่นสิธรรมดาเสียที่ไหน และที่สำคัญคือ ต้องทำให้เจ้าหมูดำอารมณ์ดีและนอนหลับเต็มอิ่ม ถึงจะได้เนื้อที่อร่อยล้ำเต็มขั้นอีกด้วยนะครับ
ซาวาดะ เชฟคนเก่งยังเล่าให้ฟังถึงความพิเศษของคุโรบูตะต่ออีกว่า มีความพิเศษคือความนุ่มลิ้น และฉ่ำกว่าหวานกว่าหมูธรรมดาทั่วไป
ลักษณะเด่นอีกประการของคุโรบูตะ คือ จะมีไขมันสีขาวแทรกอยู่ตามชั้นของกล้ามเนื้อ ที่เรียกว่า ลายหินอ่อน เหมือนเนื้อวัวโกเบ แต่นุ่มลิ้นกว่า แถมยังมีความนุ่มกว่าเนื้อหมูทั่วไปถึง 30%
นอกจากนี้ ยังมีคอเลสเตอรอลต่ำกว่า และมีความหอมอันมีเอกลักษณ์ เมื่อนำไปปรุงให้ได้ที่แล้วจะได้เนื้อที่ทั้งนุ่ม ทั้งชุ่มฉ่ำ และยังได้ความหอมล้ำเป็นของแถมอีกต่างหาก ซึ่งคุณสมบัติพิเศษเหล่านี้หาไม่ได้ในหมูทั่วไป
ไม่น่าแปลกใจสักนิดที่คุโรบูตะ ยามนี้จะกลายเป็นวัตถุดิบขั้นเทพ ที่เรียกหามาปรุงเป็นเมนูรสเลิศ ทำให้ราคาสูงลิบลิ่วตามไปด้วย โดยฟาร์มในบ้านเราสนนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ 600 บาท ขณะที่ญี่ปุ่นแพงกว่านี้หลายเท่านัก โดยที่หมูดำ 1 ตัว จะให้น้ำหนักอยู่ที่ 150-200 กิโลกรัม ส่วนที่นิยมนำมาทำอาหารก็คือ เนื้อสันนอก เนื้อสันใน เนื้อสามชั้น และเนื้อส่วนแก้ม ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นส่วนที่นุ่มและอร่อยที่สุดของคุโรบูตะ
ปัจจุบันในบ้านเราสามารถเลี้ยงคุโรบูตะบ้างแล้ว และกำลังพัฒนาสายพันธุ์ให้เทียบเท่ากับของญี่ปุ่น จึงยังไม่แพร่หลาย
ขอย้ำว่า อย่าเข้าใจผิดคิดไปว่าคุโรบูตะก็คือหมูป่านะจ๊ะ และถึงแม้ข้างนอกจะมีสีดำปิ๊ดปี๋ แต่ข้างในนั้นแสนจะแดงฉ่ำ น่ารับประทานที่สุดเชียวล่ะ
คุโรบูตะนั้นทำอาหารได้หลากหลาย ทั้งชาบู ชาบู ทงคัตสึ เทปันยากิ สเต๊ก รวมทั้งผัด ทอด อบ หรือว่าย่าง ล้วนอร่อยลิ้นทั้งนั้น แต่เชฟซาวาดะแนะนำว่า ถ้าไม่อยากให้รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของคุโรบูตะถูกลดทอน ต้องไม่ใช้กับเมนูที่มีเครื่องเทศกลิ่นแรงๆ ฉุนๆ และไม่ควรใส่น้ำตาลเยอะ เพราะคุโรบูตะมีความหวานในตัวอยู่แล้ว
เกริ่นถึงเจ้าหมูมหัศจรรย์กันมาขนาดนี้ ไม่มีที่ให้ไปลิ้มลองก็คงถูกค่อนว่าใจร้ายเต็มทีแน่ๆที่ไม่มีอะไรให้กินซะที งานนี้เชฟซาโตชิ ซาวาดะ ผู้มีความสุขกับการทำอาหาร เลยจัดเต็มให้กับผู้ที่ชื่นชอบความอร่อยและแปลกใหม่ ด้วยการรังสรรค์เมนูรสเลิศจากหมูขั้นเทพถึง 8 เมนู ซึ่งล้วนอร่อยติดลิ้นแทบแดดิ้น (ว่าเข้าไปนั่น)
ประเดิมด้วยเมนูท็อปฮิต Kurobuta Hobamisoyaki หมูดำสันนอกสไลซ์เป็นริ้วๆ ปรุงรสด้วยมิโซะซอส ต้นหอมญี่ปุ่น และเพิ่มรสชาติด้วยพริกย่างหอมๆ และที่พิเศษคือนำไปย่างบน Magnolai หรือใบไผ่ญี่ปุ่นหน้าตาละม้ายคล้ายใบสักบ้านเรา มีคุณสมบัติไม่ไหม้ไฟ แถมยิ่งโดนความร้อนจะยิ่งหอม ยิ่งช่วยทำให้เมนูสวยๆ จานนี้มีรสชาติแสนพิเศษ
เมนูต่อมา ระดับความฮิตไม่แพ้กัน Kurobuta Hohoniku no Nikomi เนื้อคุโรบูตะบริเวณแก้ม ที่ขึ้นชื่อว่านุ่มที่สุดอร่อยที่สุด นำมามัดเป็นกลมๆ แล้วนำมาลวก ปรุงรสด้วย ซีอิ๊ว น้ำตาล ขิง กระเทียม แครอต และเพิ่มความกลมกล่อมด้วยเรดไวน์ จากนั้นนำไปต้มประมาณ 1 ชม. แล้วแช่ในตู้เย็นเพื่อให้น้ำซึมเข้าเนื้ออีก 1 คืน จากนั้นนำน้ำสต๊อกที่ได้มาปั่นกับเนื้อ ส่วนน้ำสต๊อกที่เหลือนำมาทำซอส นุ่มลิ้นจนแทบละลายในปาก จนอดอุทานออกมาในใจไม่ได้ “โอว์...นี่เรากำลังรับประทานหมูอยู่จริงๆ หรือ?”
มาถึงเมนูส่งท้าย Kurobuta Chashuคุโรบูตะสามชั้น ที่มีความหนากว่าสามชั้นของหมูธรรมดาถึง 2 เท่า นำมาแบ่งครึ่งแล้วม้วนเป็นเป็นวงกลมนำไปย่าง หันไปปรุงนำซอสพิเศษที่มีส่วนผสมของ ขิง กระเทียม ใส่ซีอิ๊ว สาเก และก็หมักกับหมูปิดอะลูมิเนียมฟอยล์แล้วอบ 2.30 ชม. นำไปเก็บในตู้เย็นเพื่อให้เนื้อซึมซับน้ำหมักเต็มๆ จากนั้นก็นำมาสไลซ์บางๆ ราดด้วยน้ำซอสมัสตาร์ด และเพิ่มรสชาติอีกระดับด้วยขิงญี่ปุ่นซอย ช่างเป็นความอร่อยที่ลงตัวสุดๆ
ส่วนอีก 5 เมนูที่เหลือ ได้แก่ Kurobuta Reshabu Salad, Kurobuta Chashu Sushi, Kuro Tonjiru, Kurobuta Yuanyaki, และ Kurobuta Cheese Cutlet ต้องไปลิ้มลองด้วยตัวเองที่ ร้านอาหารญี่ปุ่นระดับพรีเมียม ชินทาโร โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ราชดำริ กรุงเทพฯ โทร.สำรองที่นั่งได้ที่เบอร์ 02-126-8866 ต่อ 1239
ถ้าไม่อยากพลาดการสัมผัสรสชาติ ฉ่ำหวาน ขั้นเทพของคุโรบูตะ ก็ต้องรีบๆ หน่อยนะครับ เพราะโปรโมชันนี้มีให้ลิ้มลองถึงวันจันทร์ที่ 18 ก.ค.ศกนี้เท่านั้น นะครับ


