7 แพร่ง ความน่าสะพรึงกลัวที่แฝงด้วยข้อคิดธรรมะ
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับพระ วัด และคำสอนของศาสนาพุทธมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ เอกกรวิก จันทรวงศ์ เจ้าของนามปากกา อัสนี
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับพระ วัด และคำสอนของศาสนาพุทธมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ เอกกรวิก จันทรวงศ์ เจ้าของนามปากกา อัสนี
โดย...พณัชกร
ด้วยความที่คลุกคลีอยู่กับพระ วัด และคำสอนของศาสนาพุทธมาตั้งแต่เด็กๆ ทำให้ เอกกรวิก จันทรวงศ์ เจ้าของนามปากกา อัสนี และ Dolphin จดจำเอาคำสอน และข้อคิดดีๆ จากธรรมะของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นมาย่อย และถ่ายทอดออกมาเป็นงานเขียน และงานเขียนของเขาก็ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศสุดยอดแนวนิยายแอ็กชันจากเวทีการประกวดงานเขียนของสถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อีกด้วย
กรวิก บอกว่า ตั้งแต่อยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทุกวันเสาร์ อาทิตย์ พ่อแม่เขานั้นจะต้องพาไปวัดจนคุ้นเคยกับวัด และได้เรียนรู้เรื่องธรรมะต่างๆ จากท่านเจ้าคุณพระเทพโมลี เจ้าคณะเขตดุสิต กรุงเทพฯ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชผาติการาม จนขอฝากตัวเป็นลูกศิษย์ และอาสาช่วยเหลืองานวัดมาตลอด
“ท่านเจ้าคุณอาจารย์ท่านบอกว่าเรื่องในศาสนาไม่ใช่เรื่องน่าเบื่ออย่างที่คิด เพราะมีเรื่องเล่าคล้ายๆ นิทานอยู่มากมาย ตอนนั้นผมอยู่วัดไม่มีอะไรทำท่านก็มีหนังสือนิทานชาดกให้อ่าน ผมก็อ่านไปเรื่อยๆ เรื่องแรกก็คือนิทานชาดกแก้วลืมรัง เรื่องนกแขกเต้า จากนั้นก็พยายามหามาอ่านเรื่อยๆ เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่าชาดกมี 500 ชาติเท่าชาติพระพุทธเจ้านะ ต้องหาอ่านให้ครบนะ ผมก็อยากจะรู้ก็หาอ่านมาเรื่อยๆ จนเกือบครบ และผมก็จดจำเรื่องราวต่างๆ ที่ได้อ่านจนเป็นพื้นฐานให้ผมเลือกที่จะสอบเข้าคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภาควิชาที่ผมเลือกก็เป็นวรรณคดีพอดี”
และเมื่อได้มาเรียนวรรณคดีก็มีโอกาสได้ลงเรียนวิชาการเขียน จนอยากจะมีนิยายของตัวเอง จากนั้นกรวิกจึงเริ่มลงมือเขียนนิยายเรื่องแรกลงในเว็บไซต์เด็กดี นั่นคือเรื่อง ยมทูตสาว งานเขียนแนวแฟนตาซีที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการเห็นว่ายมทูตส่วนใหญ่ที่เคยได้ยินนั้นมีแต่ผู้ชาย ถ้าหากว่ามียมทูตผู้หญิงบ้างอะไรจะเกิดขึ้น
จากงานเขียนเรื่องแรกที่ลงในเว็บเด็กดี ในที่สุดกรวิกก็มีผลงานเขียนที่ได้รับการตีพิมพ์ออกมาเป็นจำนวนหลายเล่ม อาทิ หนังสือเทพนักขัตตะ ตอน อัศวิน และตอน อสิเลสะ, หนังสือสายเลือดมังกร ตอน ทายาทมังกรดิน, อาถรรพ์แผ่นดิน, 28 ดาว นักขัตฤกษ์, นาวาธรรม นำชมวัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์ ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ฯลฯ
สำหรับผลงานเล่มล่าสุดก็คือ 7 แพร่งเล่มนี้ ถือได้ว่าเป็นวรรณกรรมสยองขวัญเล่มแรกของเขาที่ถ่ายทอดเรื่องราวความน่าสะพรึงกลัวของดาว 7 แฉก ที่จะนำผู้อ่านไปสัมผัสกับความลึกลับ และอาถรรพ์ต่างๆ ถึง 7 อย่าง ตามแพร่งทั้ง 7 โดยแพร่งที่ 1 ปีกของผู้ที่แอบมอง แพร่งที่ 2 ย้อนศร แพร่งที่ 3 เจ้าดำตาทับทิม แพร่งที่ 4 คฤหาสน์มังกรผีสิง แพร่งที่ 5 บทอวสานของจดหมายลูกโซ่ แพร่งที่ 6 ไม้กวาดหน้าเมรุ และแพร่งที่ 7 หนี้ซาตาน
“หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องราวลึกลับอาถรรพ์ที่บางเรื่องก็ได้ฟังเพื่อนเด็กวัดเล่าให้ฟัง หรือบางทีก็มีอาจารย์ หมอดูมาทัก หรือเรื่องราวที่ได้พูดคุยกับพระอาจารย์ผมก็จำมาเขียน ซึ่งใน 7 แพร่ง บางแพร่งก็เป็นเรื่องของศาสนาพุทธ ซึ่งอันนี้ก็ต้องยกความดีให้ GTH ที่ทำหนัง 4 แพร่ง 5 แพร่ง แล้วก็มีนักเขียนท่านหนึ่งเขียนเรื่องสั้นเรื่อง 6 แพร่งขึ้นมา ประกอบกับผมรู้จักดาว 7 แฉกเป็นสัญลักษณ์ของแม่มดตะวันตกจากตอนเรียน ผมจึงเกิดแรงบันดาลใจที่จะนำเอาสัญลักษณ์ดาว 7 แฉกมาใช้ในโปรเจกต์ 7 แพร่งนี้”
โดยงานเขียนเกือบทุกเล่มนั้นเขายืนยันว่าได้มาจากการอ่าน และการที่ได้ฟังเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา และหยิบบางช่วงบางตอนที่รู้สึกสะดุดใจมาถ่ายทอดเป็นงานเขียนเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้มีความรู้ในเรื่องธรรมะ และศาสนา
“ผมพยายามเอาตำนานต่างๆ ที่ได้อ่าน ได้รู้มาผูกเรื่องใหม่ และถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือที่ไม่น่าเบื่อ พยายามให้จับใจคนสมัยใหม่ เพราะว่าถ้าจะเอาเรื่องศาสนามาโยนให้คนรุ่นใหม่ได้อ่านตรงๆ เขาจะหนีก่อน เหมือนสมัยก่อนที่ผมเป็นเด็กหลวงพ่อก็ไม่ได้โยนธรรมะมาให้ตรงๆ แต่มีกุศโลบายให้ผมศึกษาศาสนาผ่านนิทาน ผ่านชาดก ผมก็เลยพยายามใช้วิธีที่หลวงพ่อเคยใช้กับผมเพื่อเขียนหนังสือให้คนรุ่นใหม่ได้อ่าน”
ทุกวันนี้นอกจากการช่วยเหลืองานที่วัด และการปั่นงานเขียนเรื่อง 8 แพร่ง เพื่อลงในเว็บเด็กดีแล้ว กรวิกก็ยังทำงานพาร์ตไทม์ในบางกอกทูเดย์ ทางเคเบิลทีวี กับรายการรู้ทันดวง โดยทำหน้าที่ช่วยรับสายคนที่โทรศัพท์เข้ามาดูดวง
&<2288;


